กรุงเทพฯ 29 พ.ค. -อดีตผู้บริหารโรงกลั่นน้ำมันแจงสูตรโรงกลั่นไทยอิงการนำเข้าจากสิงคโปร์เหมาะสมแล้วสำหรับความมั่นคงของประเทศ ส่วนราคาหน้าปั๊มไทยสูงเพราะรัฐจำเป็นต้องเก็บภาษีพัฒนาประเทศ
จากกระแสที่มีการเรียกร้องให้ปรับสูตรหน้าโรงกลั่นน้ำมันในไทยโดยให้ไม่ตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิต ได้ เท่ากับ ราคาการนำเข้าจากสิงคโปร์ (import parity) นั้น นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล อดีต สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากฯกล่าวว่า ถ้าโรงกลั่น ในไทยไม่ตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ เท่ากับราคาการนำเข้าจากสิงคโปร์ (import parity) ซึ่งต้องรวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นค่าขนส่ง ค่าประกัน ค่าสูญเสีย ค่าปรับคุณภาพ แต่ใช้ เท่ากับราคา MOP หรือ ราคา bench mark ที่ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ เฉย ๆโรงกลั่นน้ำมัน ก็จะไม่เกิดขึ้น ในประเทศไทย เพราะ margin หรือ กำไรขั้นต้นของโรงกลั่นจะต่ำเกินไปไม่คุ้มค่าการลงทุน โรงกลั่นที่ตั้งราคาขายแบบนี้ จะเป็นโรงกลั่นเพื่อการส่งออก ซึ่งประเทศไทย ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย เพราะไม่คุ้มค่า ถ้าไม่มีโรงกลั่นประเทศก็ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมากมาย ด้วยราคาข้างต้นที่มีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มต่างๆ โดยข้อเท็จจริงอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ ไม่สามารถทราบราคาวัตถุดิบคือน้ำมันดิบ และราคาขายนำมันสำเร็จรูปได้ก่อนเลย ทุกอย่างทำล่วงหน้าหมด เป็นสูตรราคา จึงอาศัยการคาดการณ์ และ บริหารความเสี่ยงช่วยดำเนินธุรกิจ ถือว่าผู้ลงทุน มีความเสี่ยงสูงมากและถ้าไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน ความมั่นคงเรื่องพลังงาน ก็คงมีปัญหา รวมถึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ก็ไม่เจริญก้าวหน้าอย่างทุกวันนี้ เรื่องนี้ ถือว่า รัฐบาลในอดีต มองกาลไกล หรือมีวิสัยทัศน์ที่ดีมาก
“ธุรกิจน้ำมัน ทั้งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นสูตรราคาทั้งนั้น ต้องตัดสินใจซื้อขายล่วงหน้า 1.5-2 เดือน ไม่เคยทราบต้นทุนที่แท้จริง จนกระทั่งน้ำมันดิบมาถึง และ วันที่ส่งน้ำมันสำเร็จรูปให้ลูกค้า ถ้าต้องการเป็นระบบ cost plus คือต้นทุน บวกค่าใช้จ่าย บวกกำไร เป็นราคาขาย ยิ่งดีเลย เพราะกำไรแน่นอน แต่ ธุรกิจน้ำมันอยู่กับความเสี่ยงเรื่องราคา กำไรไม่แน่นอน อาจจะขาดทุนได้ ถ้าบริหารไม่ดี หรือ มีเหตุการณ์ผิดปกติ เท่าที่ผมอยู่ในวงการยังไม่เคยมีโรงกลั่นไหน ใช้ระบบ cost plus มีบางโรงกลั่น อาจรับจ้างกลั่นโดยกำหนด margin หรือกำไรแน่นอน และไม่ยอมรับความเสี่ยงราคาและอื่นๆ”นายอนุสรณ์ระบุ
นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า สมัยตนเป็น สปช.ไม่เคยให้ยกเลิก import parity เพราะโรงกลั่นอยู่ไม่ได้ แต่ให้ทบทวน ค่าขนส่ง (ขนาดของเรือ)ค่าประกัน โดยเฉพาะค่าปรับคุณภาพที่มีการลงทุนมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาทาง นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว. พลังงานก็ได้ทบทวนแล้วปรับสูตรตั้งแต่ 20 เมษายน 2561 ปรับสูตรหน้าโรงกลั่นจากการคำนวณตามวิธีเดิม (ใช้ Euro III เป็นฐาน) เป็นตามวิธีใหม่ (ใช้ Euro IV เป็นฐาน) แล้วราคาหน้าโรงกลั่นลดลง 41 แต่พอดีช่วงนี้ราคาตลาดโลกแพง ประชาชนจึงไม่รู้สึกว่าต้นทุนต่ำลง
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตราคาน้ำมันของไทยแพงกว่ามาเลเซียก็เป็นเพราะมาเลเซียมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซ จึงแทบจะไม่เก็บภาษีการขายน้ำมันในประเทศ และหากไปดูประเทศส่งออกน้ำมันที่เคยอุดหนุนราคา วันนี้เดือดร้อนเพราะคนไม่ประหยัด และรายได้ประเทศลดลง จึงลดการอุดหนุนไปเพราะราคาน้ำมันโลกตกต่ำ เห็นชัดจากเวเนซูเอลาเศรษฐกิจล้มเหลว เกิดจราจล เพราะเคยอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศอย่างหนัก ในขณะที่ไทยนำเข้าพลังงานทุกประเภท (ซื้อจากมาเลเซียด้วย) การเก็บภาษีสรรสามิตจากผู้ใช้รถยนต์เพื่อเป็นงบในการสร้าง/ซ่อมถนน และสร้างระบบขนส่งมวลชนให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ- สำนักข่าวไทย
