กรุงเทพฯ 2 ส.ค.- “เผ่าภูมิ” เผย GDP ไตรมาส 2 มีแนวโน้มดีกว่าคาด ชี้ภาษีนำเข้าสหรัฐ 19 % เป็นระดับที่น่าพอใจ สะท้อนศักยภาพการผลิตในประเทศ สร้างข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง เปิดโอกาสดึงดูดการลงทุนส่งออกมากขึ้น เตรียมออกมาตรการซอฟต์โลนพยุงผู้ส่งออก คาดแนวโน้ม GDP ไตรมาส 2 แนวโน้มดี
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง GDP ไตรมาส2 ปี 2568 ว่า มีแนวโน้มออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปี ซึ่งหลายสำนักทั้งในและต่างประเทศได้เริ่มมีการปรับประมาณการ GDP ของไทยเพิ่มขึ้น เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. ปรับจากร้อยละ 2.1 เป็นร้อยละ 2.2 ขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ปรับจาก ร้อยละ 1.8 เป็นร้อยละ 2.0 โดยกลางเดือนนี้ สศช.ก็จะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะออกมาดี และสอดคล้องกับสัญญาณทางเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น และการค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีที่น้อยกว่าที่กังวลการส่วนตัวเลขการจัดเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ในอัตราร้อยละ 19 เป็นอัตราที่น่าพึงพอใจ และอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งทางการค้าในภูมิภาค
และจากการที่ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนามนั้น สะท้อนถึงความสามารถในการผลิตในประเทศ (Local Production Content) ถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้าง เพราะในมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราที่แตกต่างกันตามระดับ “Transshipment” หรือสัดส่วนสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในประเทศนั้นๆ หากสินค้ามีส่วนประกอบที่ผลิตจากประเทศที่สามเป็นหลัก จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูง ในขณะที่ไทยมีห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ที่ยาวและลึกกว่าคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ทำให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ที่ได้รับอัตราภาษีต่ำกว่า
ประเด็นสำคัญอีกอย่างคือ การใช้เกณฑ์ “Regional Value Content” (RVC) ซึ่งจะมีการกำหนดเส้นแบ่งของสัดส่วนวัตถุดิบและการผลิตในประเทศ หากสินค้าผลิตในประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าค่ากลาง จะได้ภาษีในเรทต่ำ แต่หากต่ำกว่าก็จะถูกเก็บภาษีในเรทสูง ตรงนี้ประเทศไทยมีจุดแข็ง เพราะมีอุตสาหกรรมพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะยกระดับห่วงโซ่การผลิตให้มีมูลค่าเพิ่มในประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้เปรียบในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องภาษีนี้ ทำให้ข้อได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้าในด้านต้นทุนภาษีกลับสู่จุดที่เสมอกัน คือ ไม่มีประเทศใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างชัดเจน แต่ไทยยังมีความได้เปรียบเชิงคุณภาพ เพราะมีการผลิตจริงในประเทศมากกว่า และมีต้นทุนในระดับที่แข่งขันได้ โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้นในระยะถัดไป
นอกจากนี้ยังมีภาคอุตสาหกรรมที่ยังได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรการซอฟต์โลน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยอยู่ในขั้นตอนการประเมินขนาดของผลกระทบ เพื่อให้มาตรการที่ออกมานั้นมีขนาดเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป คาดว่าจะสามารถเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้เร็วๆ นี้
แต่ในระหว่างนี้ก็มีบางธนาคารออกมาตรการดูแลผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ เช่น EXIM Bank ได้ออกมาตรการ อาทิ การพักชำระหนี้ การปรับลดดอกเบี้ย การเพิ่มวงเงินหมุนเวียน รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการในการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น สินเชื่อสำหรับการโรดโชว์ การจัดแสดงสินค้า และการประกันการส่งออก เพื่อเสริมความมั่นใจให้ภาคเอกชนสามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่อง .-517-สำนักข่าวไทย