กรุงเทพฯ 31 ต.ค.- ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก “บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ” หนุนการขยายตัวของเมือง และช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยโดยรอบรถไฟฟ้า คาดในอนาคตมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 39,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 50,000 ล้านบาทต่อปี
ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านกำลังซื้อ เห็นได้จากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภททั่วประเทศในช่วง 7 เดือนของปี 2567 ที่ติดลบ 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการหดตัวแทบทุกกลุ่ม ทั้งในมิติของทำเล และมิติของประเภทที่อยู่อาศัย ดังนั้น ตลาดที่อยู่อาศัยจำเป็นจะต้องมีปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ตลาดสามารถเติบโตได้ในอนาคต โดยโครงการพัฒนารถไฟฟ้า เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยประคับประคองตลาดที่อยู่อาศัยในระยะถัดไป
การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ที่มีมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท เป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่จะเชื่อมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน หนุนการขยายตัวของเมือง ในช่วงระยะเวลาก่อสร้างราว 5-6 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง ทั้งธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้า รวมถึงก่อให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตามความต้องการอยู่อาศัยในบริเวณบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ ที่มากขึ้น
คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกจะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในทำเลบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ ปรับตัวสูงขึ้นจากปีละ 5,450 ยูนิต มูลค่า 3.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 6,800 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านบาท แนะผู้ประกอบการควรเลือกพัฒนาที่อยู่อาศัยใน Segment ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค (Product Champion) ในแต่ละทำเลย่อยของแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก เช่น หากเป็นทำเลตลิ่งชัน-ศิริราช ควรเลือกพัฒนาคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท หรือบ้านจัดสรรราคามากกว่า 10 ล้านบาท ขณะที่ทำเลดินแดง-ศูนย์วัฒนธรรมฯ ควรพิจารณาพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลางราคา 3-5 ล้านบาท และ 5-10 ล้านบาท แต่หากเป็นทำเลราชเทวี-ราชปรารภ ควรพิจารณาพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบนที่มีราคามากกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไป. -517-สำนักข่าวไทย