ตลาดหลักทรัพย์ฯ 9 พ.ค.-ตลท. เผย เม.ย.67 SET Index ปิดที่ 1,367.95จุด ลดลง 0.7% แต่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า นโยบายเร่งกระตุ้นของรัฐ หนุนเศรษฐกิจ เชื่อหากฟื้น LTF จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,367.95จุด ปรับลดลง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,367.95จุด ปรับลดลง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ทั้งนี้ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2567 มาอยู่ที่ 44,448 ล้านบาท แม้ว่าลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 3,787 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24
มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) และใน mai 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.เอเชียนน้ำมันปาล์ม (APO), บมจ. บีพีเอส เทคโนโลยี (BPS), บมจ. คิวทีซีจี (QTCG), บมจ. เทอร์ราไบท์ พลัส (TERA), บมจ.สโตนวัน (STX)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.2เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ15.5 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567อยู่ที่ระดับ 3.40% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.18%
ทั้งนี้ ในเดือนเมษายนผู้ลงทุนกังวลความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบโลกและทองคำปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าคาด ทั้งนี้ ผลการประชุม FED ที่มีมติคงดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ผู้ลงทุนปรับความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED อยู่ที่ 1-2 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตามประเมิน เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่าจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากทั้งรายจ่ายและการลงทุนของรัฐบาลที่หดตัวตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า
ส่วนกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิระ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายให้กลับไปศึกษาการนำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาระดมทุนในตลาดทุนอีกครั้ง มองว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้มีความเข้าใจ การหาแนวทางการกระตุ้นตลาด จากการฟื้นกองทุน LTF น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งยังต้องรอรายละเอียด
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่า ภาพรวมที่รัฐบาลพยามเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งจะหนุนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปด้วย ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความเสี่ยงจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่มีความขัดแย้งก็มีสัญญาณที่ผ่อนคลายลง บวกกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางในต่างประเทศก็ทยอยผ่อนคลาย และน่าจะมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งภาพเหล่านี้เริ่มทำให้เห็นสัญญาณฟันด์โฟว์อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเริ่มเห็นการไหลโยกเม้ดเงินลงทุนเข้ามาใน Emerging Market มากขึ้น รวมถึงไทย เพื่อรอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นของไทยในช่วงต่อไป แม้ว่าภาพตลาดตอนนี้อาจจะไม่ค่อยดีนักและจุดเปลี่ยนในปัจจัยโลกจะยังไม่ชัดเจนนักก็ตาม
นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน พฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน 2567 รัฐบาลจะมีโรดโชว์ในหลายประเทศ อาทิ เกาะฮ่องกง และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ.-516-สำนักข่าวไทย