“ปานปรีย์” ชี้ “แลนด์บริดจ์” จุดยุทธศาสตร์ใหม่ของไทย

กรุงเทพ 3 พ.ย. – “ปานปรีย์” ชูทูตเศรษฐกิจ “หัวหอก” สร้างโอกาสให้ประเทศ พร้อมระบุการทำโครงการ “แลนด์บริดจ์” จะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของไทยในการแข่งขันเวทีโลก ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท. ชี้การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮามาส คือ ความเสี่ยงใหม่ของเศรษฐกิจโลก


นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปาฐกถา : Thailand’s New Growth Path 2024 บริบทใหม่ของประเทศไทยในเวทีโลก ในงานสัมมนา Thailand Next Move 2024 “The Next Wealth and Sustainability” เปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน โดยกล่าวว่า การทูตเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศไปสู่ “New Growth Path” บทบาทและเส้นทางของไทยขึ้นอยู่กับบริบทของโลก หลายขั้วอำนาจแข่งขันกันทั้งด้าน geo-politics geo-economy และ geo-technology รวมไปถึงการแบ่งขั้วของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย การวางจุดยืนของไทยท่ามกลางความขัดแย้งและบริบทเศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว สำคัญที่สุดไทยไม่ได้เป็นผู้ขัดแย้งหรือส่วนหนึ่งของความขัดแย้งใด ๆ และดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ อย่างมีดุลยภาพ แต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถปะทุและยกระดับไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียได้ทุกเมื่อการวางจุดยืนที่ไม่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่ง จำเป็นต้องมีจังหวะสำหรับการบริหารจัดการสถานการณ์และเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ต้องเร่งสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่และศักยภาพใหม่ให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยไม่ใช่แค่ destination จุดหมายปลายทางด้านการค้าและการลงทุนเท่านั้น แต่เป็นจุดสำคัญในการเชื่อมโยงการขนส่งไปทั่วโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า New Growth Path ของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ต้องมี 3 มิติ และภาคการเงินการธนาคารมีบทบาทอย่างมากในการส่งเสริมทั้ง 3 มิติ


  1. Green Growth การเข้าถึงบริการการเงินและแหล่งเงินทุนที่จำเป็น สำหรับการปรับกระบวนการผลิตสินค้าและบริการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. Innovation-driven Growth การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ
  3. Community-based Growth การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs และเศรษฐกิจชุมชน
    โดยรัฐบาลจะนำประเทศไทยสู่ New Growth Path โดยดำเนินการทูตเศรษฐกิจที่มุ่งเชื่อมโยงพันธมิตรทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ภาครัฐ เอกชน และภาคการเงินการธนาคารจะมีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเดินต่อไปได้ เพื่อส่งเสริมการเติบโตร่วมกัน พร้อมกับการแก้ปัญหาร่วมของภูมิภาคซึ่งรัฐบาลใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเป็น “หัวหอก” ของการทูตยุคใหม่ ในการแสวงหาโอกาสทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลการพัฒนานวัตกรรม การพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่และการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ

นายปานปรีย์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะเร่งเจรจา FTA กับประเทศเศรษฐกิจสำคัญเพื่อขยายตลาดส่งออกของไทย และทำงานอย่างใกล้ชิดกับหุ้นส่วนภายใต้กรอบ IPEF หรือ อินโดแปซิฟิกฟอรั่ม เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานให้แข็งแกร่ง เพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยโครงการ “แลนด์บริดจ์” เชื่อมฝั่งอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน ที่ จ.ชุมพร-จ.ระนอง จะเป็นแม่เหล็กใหม่ของไทย ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนแปลงหรือลดความรุนแรงด้านภูมิรัฐศาสตร์ให้ประเทศต่าง ๆ กลับมามุ่งเน้นเรื่องการค้าขายบนพื้นฐานของความเป็นธรรม และมีไทยเป็นจุดเชื่อมโยงการขนส่งที่สำคัญไปทั่วโลก ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้นำคณะผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนเยือนต่างประเทศแล้ว 9 ทริป รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ และจะเดินทางไปร่วมประชุม IPEF ระดับรัฐมนตรีในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน รวมถึงได้เดินทางไปที่จังหวัดสระแก้วเพื่อรับฟังความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจตามแนวชายแดน

นอกจากนี้การเยือนสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อร่วมประชุม APEC ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็น Sustainable Finance ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมกลไกการเงินสีเขียวผ่านการออกพันธบัตร เพื่อความยั่งยืนและเชิญชวนให้นักลงทุนจากต่างชาติร่วมลงทุนใน Sustainability Linked Bonds ที่รัฐบาลวางแผนออกเพิ่มเติมเพื่อระดมทุนประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้าซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการพบหารือกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ของต่างประเทศ เพื่อเชิญชวนและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและผู้มีทักษะสูงให้เข้ามาลงทุนและทำงานในประเทศไทย รวมถึงการจัดกำหนดการให้ภาคเอกชนไทยได้พบปะหารือกับหน่วยงานและภาคเอกชนของต่างประเทศคู่ขนานกันไป ทั้งนี้รัฐบาลจะขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วนของไทย เพื่อให้การต่างประเทศสอดคล้องกับนโยบายภายในประเทศ เพื่อยกระดับความกินดีอยู่ดีของพี่น้องคนไทย พร้อมกับนำไทยกลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของการเมืองและเศรษฐกิจโลกอย่างภาคภูมิ และได้รับความเชื่อมั่นจากนานาชาติ

กระทรวงการต่างประเทศพร้อมจะทำงานร่วมกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ภายใต้กลไก “ทีมประเทศไทย”กระทรวงฯ เชิญทูตไทยทั่วโลกมาประชุมที่กรุงเทพฯ เพื่อระดมสมองและวางแนวทางขับเคลื่อนงานด้านการต่างประเทศร่วมกับทุกภาคส่วนและเครือข่ายของประเทศไทย เพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนซึ่งก้าวต่อไปของไทยต้องมีความครบเครื่อง จุดยืน ความยืดหยุ่น ความพร้อมที่จะผงาดขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง และต้องสร้างภูมิต้านทานเพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันเพื่อพลิกฟื้นความเจริญรุ่งเรืองกลับมาสู่ประเทศไทย


นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อปรับโหมดนโยบายการเงินสู่เศรษฐกิจยั่งยืน Towards a more resilient future ว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยที่คาดไม่ถึง หรือประเมินลำบาก จะทำให้เกิดแรงกระแทกหรือผลข้างเคียงต่อเศรษฐกิจที่แรง ดังนั้น จึงจำเป็นที่เศรษฐกิจต้องปรับโหมดในการดูแลหลายมิติ โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่มี resiliency หรือความยืดหยุ่นเพื่อรองรับแรงกระแทกได้ ทั้งนี้ องค์ประกอบของเศรษฐกิจที่มี resiliency ไม่ใช่แค่เสถียรภาพ แต่มีความหมายกว้างกว่านั้น มีองค์ประกอบเรื่องความทนทานภายใต้บริบทที่เปลี่ยนแปลง มีความยืดหยุ่น ถ้ามีเหตุการณ์คาดไม่ถึงสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ มีลักษณะที่ล้มแล้วลุกขึ้นได้เร็ว เป็นต้น

ผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไปมาก โดยความเสี่ยงเพิ่มสูง ซึ่งความเสี่ยงที่สูงสำหรับเหตุการณ์ที่คุ้นชิน เช่น การเติบโตของจีนที่ลดลง หรือเศรษฐกิจโลกที่ปรับลดลง เราก็สามารถรับมือได้แต่ที่น่าห่วง คือ มีความเสี่ยงใหม่ที่ไม่คุ้นชิน ทำให้คาดการณ์ลำบากว่า ผลท้ายสุดจะเป็นอย่างไร บทเรียน 10-20 ปี ที่ดูออกยาก คือ ผลข้างเคียง ยกตัวอย่าง ความเสี่ยงที่สูงมาก เช่น สถานการณ์ในตะวันออกลาง อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง จึงเป็นที่มาว่า เรื่องของเสถียรภาพ จะกลับมาเป็นพระเอก จากเดิมที่เราเน้นกระตุ้นเพื่อออกจากวิกฤตโควิด แต่ขณะนี้ บริบทเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ ต้องกลับมา ทั้งนี้ แนวทางการดูแลเศรษฐกิจที่เน้นเสถียรภาพนั้น สอดคล้องกับมุมมองของไอเอ็มเอฟ โดยเน้นเสถียรภาพ เช่น เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย เก็บลูกกระสุนการคลัง ดูแลเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ปรับโครงสร้างรับกระแสโลกใหม่ โดยสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ คือ ดูแลให้เศรษฐกิจโตตามศักยภาพที่ 3-4% ต่อปี เงินเฟ้ออยู่ในเป้าหมาย 1-3% และ อย่าให้เกิดความไม่สมดุลการเงิน เป็นต้น ส่วนเสถียรภาพที่โอเคน้อยหน่อย คือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ 91% เมื่อเปรียบเทียบจีดีพี แม้จะลดลงจากจุดสูงสุดที่ 94% แต่ก็ยังสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงโควิด อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีตัวเลขตายตัวว่าระดับเท่าไหร่เหมาะสม แต่ต่างประเทศอยากให้รักษาไว้ที่ระดับ 80% เศษ ฉะนั้นในมิตินี้ถือว่ายังมีปัญหาและจับตามอง ส่วนด้านการเปรีขเทียบในอดีต คือ ความอ่อนแอภาคการคลัง สะท้อนจากตัวเลขหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ถามว่าถ้าเปรียบเทียบกับต่างประเทศนั้น พบว่ามีหลายประเทศสูงกว่าเรา แต่หนี้ดังกล่าวเพิ่มมาอย่างเร็วจากก่อนโควิด โดยมีระดับ 62% ต่อจีดีพีนั้น สูงสุดกว่าที่เราเคยมีมา จึงเป็นตัวเลขที่ต้องใส่ใจ หรือชะล่าใจไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราอยากมีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ เราต้องสร้างโอกาส เพื่อให้มีการเติบโตแบบใหม่ที่ฐานจะกว้างมากขึ้น ถ้าโตแบบเดิม ๆ จะยิ่งลำบาก โดยตัวเลขฟ้องว่าจะโตลำบาก คือ 1 ใน 3 ของแรงงานไทยและอุตสาหกรรมอยู่ในโลกเก่า เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยานยนต์ เป็นต้น. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” นำค้นวัดไร่ขิง 3 จุด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด

นครปฐม 16 พ.ค.-“บิ๊กเต่า” นำกำลังตำรวจกองปราบบุกค้นวัดไร่ขิง 3 จุด หาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอี่ยวคดียักยอกเงินวัด 300 ล้าน พร้อมนำหมายค้นบ้านประชาชน 1 จุด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วัด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด เวลา 07.00 น. พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ตรวจค้นภายในวัดไร่ขิงพระอารามหลวง มีทั้งหมด 3 จุด และบริเวณโดยรอบอีก 1 จุด ซึ่งจุดแรกในวัดไร่ขิงคือกุฏิของพระธรรมวชิรานุวัตร หรือเจ้าคุณแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและเจ้าคณะภาค 14 โดยมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงเป็นผู้ที่นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในกุฎิ พร้อมสังเกตการณ์ ทันทีที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการถึงบริเวณหน้ากุฎิเจ้าอาวาส ได้ให้ตำรวจอ่านหมายค้น เพื่อเข้าตรวจสอบและยึดสิ่งของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการกระทำความผิด ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ประกอบหลักฐานการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องในการพิจารณาความผิด ขณะที่พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการอ่านหมายค้น ว่า วันนี้เป็นการตรวจค้นเกี่ยวกับเส้นเงินที่ไหลไปตามบัญชีต่างๆ มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ต้องมีการเรียกสอบรายบุคคลพร้อมกับการตรวจค้น โดยหลักๆ ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ […]

2 ผู้ต้องหามอบตัว คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์ม

ตรัง 16 พ.ค. – หัวหน้าแก๊ง พร้อมลูกน้องอีก 1 คน ก่อเหตุเผานั่งยาง 3 ศพในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ติดต่อขอมอบตัว หวั่นถูกวิสามัญ หลังเจ้าหน้าที่ระดมกำลังไล่ล่า เช้านี้ ตำรวจ สภ.โคกนา เจ้าของพื้นที่คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ได้รับการประสานจากอดีตสมาชิกสภาจังหวัด ในพื้นที่อำเภอสิเกาว่า จะนำตัว 2 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายศุภกรณ์ หรือบิน อายุ 37 ปี ชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง และนายจรณชัย หรือแต้ม อายุ 32 ปี ชาวหมู่ 7 ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองคน กังวลเรื่องความปลอดภัย หากหลบหนีต่อไป เกรงถูกวิสามัญฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ระดมปิดล้อมบ้านเขาหลัก […]

ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากทุกตำแหน่ง

15 พ.ค.- เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากหน้าที่ทุกตำแหน่ง เหตุถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามในหนังสือ คำสั่งถอดถอนพระสังมาธิการ พระธรรมวชิรานุวัตร พักจากตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่ง ทั้งเจ้าคณะภาค 14 และ เจ้าอาวาสวัดไร่ชิงพระอารามหลวง หลังจากทราบเรื่องว่าถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา จึงได้อาศัยอำนาจตามความในข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2553) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังมาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุณะสูงณ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเดิมโดยพระราชบัญญัติคณะสงน์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้เหตุผลว่า ถ้าจะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ .-สำนักข่าวไทย

เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมสึก คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

15 พ.ค.- เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมลาสิกขาด้วยตัวเอง หลังถูกเค้นสอบนานกว่า 8 ชม. เบื้องต้นยอมให้การแล้ว คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ช่วงหนึ่งของการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อุ้มพระพุทธรูป ปางสมาธิองค์สีดำ ถือเข้าไปไปยังห้องสอบสวนที่สอบปากคำพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม เจ้าคณะภาค 14 สังเกตพบว่ามีการนำพระพุทธรูปวางไว้บนโต๊ะบริเวณด้านหน้าของ พระธรรมวชิรานุวัตร โดยมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า พระธรรมวชิรานุวัตร ยอมทำพิธีลาสิกขาบทด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เริ่มพิธีเนื่องจากรอชุดเสื้อผ้าเปลี่ยนหลังทำพิธีลาสิกขาบทแล้วเสร็จ ส่วนการสอบปากคำ เบื้องต้นทางพระธรรมวชิรานุวัตร ยอมให้การกับพนักงานสอบสวนแล้ว และให้การไปในทิศทางที่ดี ซึ่งปรากฏว่าทางพระธรรมวชิรานุวัตร ได้โอนเงินไปให้กับผู้ต้องหาที่ 2 เป็นจำนวนเงินหลักร้อยล้านบาท ในช่วงปี 2564 ซึ่งข้อมูลนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบปากคำหาข้อเท็จจริง ว่ามีการทำธุรกรรมด้วยสาเหตุใด แต่พบบางส่วนเข้าไปพัวพันกับเว็บการพนัน .-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ฝากขังทิดแย้ม

ฝากขัง-ค้านประกัน “ทิดแย้ม” และพวก ยักยอกเงินวัดไร่ขิง

17 พ.ค.- ตำรวจควบคุมตัว “อดีตเจ้าคุณแย้ม” พร้อมพวกอีก 2 คน ไปขออำนาจศาลฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว คดียักยอกเงินวัดเล่นพนันออนไลน์ เมื่อเวลา 10.39 น. พนักงานสอบสวน ควบคุมตัว “อดีตเจ้าคุณแย้ม” และหญิงคนสนิทออกจากห้องควบคุม ขึ้นรถตู้ นำตัวไปฝากขัง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ย่านตลิ่งชัน โดยทั้ง 2 มีท่าทีนิ่งเฉย ไม่ตอบคำถามและให้สัมภาษณ์ใดๆ เมื่อทางผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าเงินจำนวนดังกล่าวนั้นได้นำไปเล่นการพนันหรือไม่ และเงินจำนวนทั้งหมดเป็นเงินของวัดหรือไม่ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ยกมือแสดงสัญลักษณ์ปฏิเสธไม่ขอพูด และไม่ขอตอบคำถามใดๆ พร้อมกับเดินอย่างสงบนิ่งขึ้นรถตู้ออกจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะที่การสอบปากคำทั้งคู่ ยังคงให้การภาคเสธ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ได้คัดค้านการประกันตัว ทั้ง 2 เนื่องจากเป็นคดีเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำการทุจริต มูลค่าความเสียหาย จำนวนมาก อีกทั้งหากได้รับการประกันตัวหวั่นผู้ต้องหายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและหลบหนีคดี ซึ่งยากต่อการติดตามตัวกลับมาดำเนินคดีในภายหลัง อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ทนายความพร้อมกับลูกศิษย์ เตรียมคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ยื่นขอประกันตัว “อดีตเจ้าคุณแย้ม” เช่นเดียวกับหญิงคนสนิททางญาติก็เตรียมคำร้องพร้อมกับหลักทรัพย์ยื่นขอประกันตัวเช่นเดียวกัน .-สำนักข่าวไทย

‘ยุน ซ็อก-ยอล’ อดีต ปธน.เกาหลีใต้ ลาออกจากพรรคพีพีพี

โซล 17 พ.ค. – นายยุน ซ็อก-ยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งกล่าววันนี้ว่า เขากำลังจะลาออกจากพรรคพลังประชาชน หรือ พีพีพี ที่มีแนวนโยบายอนุรักษ์นิยม นายยุน ซึ่งประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคมปี่ที่แล้ว และต่อมาถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ได้รับเสียงเรียกร้องจากสมาชิกพรรคพีพีพีให้เขาลาออกจากตำแหน่งเพื่อเรียกเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมจากกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่มีแนวนิยมสายกลาง ซึ่งไม่มองการกระทำของของนายยุนออกไปในเชิงลบ นายยุน โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า เขาขอแสดงความขอบคุณต่อสมาชิกพรรคและเพื่อนร่วมงานที่ไว้วางใจและสนับสนุนเขา แม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่อง แต่โปรดสนับสนุนนายคิม มุน-ซู ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคพลังประชาชน การประกาศลาออกจากพรรคของนายยุน เกิดขึ้นในขณะที่นายคิมมีคะแนนตามหลังนายอี แจ-มยอง ผู้สมัครจากพรรคเสรีประชาธิปไตยอย่างมาก จากผลสำรวจความคิดเห็นของกัลลัปเกาหลี ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ ก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 มิถุนายนนี้.-813.-สำนักข่าวไทย

คนสนิทอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง

คุมฝากขัง “เอกพจน์” คนสนิทอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง

17 พ.ค.- ตำรวจไซเบอร์คุมตัว “เอกพจน์” คนสนิทอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ไปขออำนาจศาลอาญารัชดา ฝากขัง พร้อมบอกตอนนี้ตัวใครตัวมัน เมื่อเวลา 08.45 น. พนักงานสอบสวน ตำรวจไซเบอร์ สอท.3 เดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เบิกตัวนายเอกพจน์ หรือ อดีตพระมหาเอกพจน์ พระคนสนิท อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 604/2568 ลงวันที่ 29 ม.ค.68 ข้อหา “พ.ร.บ.การพนันร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออีเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐามผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน” ไปขออำนาจศาลอาญารัชดาฝากขัง ทั้งนี้ ระหว่างถูกคุมตัวขึ้นรถ นายเอกพจน์ เปิดเผยว่า อดีตเจ้าวาสวัดไร่ขิงหรือทิดแย้มให้กดเงินและโอนเงินให้กับนางสาวธัญญวัฒน์ จริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเงินอะไร โดยโอนให้หลายครั้ง แต่ละครั้งก็หลักล้าน ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าตอนนี้ยังนับถืออดีตเจ้าคุณแย้มหรือไม่ หรือไม่ นายเอกพจน์ตอบว่าตอนนี้ตัวใครตัวมัน ก่อนจะขึ้นรถควบคุมตัวไปที่ศาลอาญารัชดา .-สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เผยเกือบทั่วทุกภาคฝนฟ้าคะนอง-ตกหนักบางแห่ง

กทม. 17 พ.ค.- กรมอุตุฯ เผยเกือบทั่วทุกภาคของไทยมีฝนฟ้าคะนองและตกหนักบางแห่ง อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยา เผยประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และด้านตะวันตกของประเทศไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย .-สำนักข่าวไทย