กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวขอโทษระงับบัญชีม้ากระทบบัญชีสุจริต แต่ถ้าไม่ทำผลจะรุนแรงกว่านี้ ห่วงเสถียรภาพการคลังไทยไม่แข็งแรง หวั่นถูกลดเครดิตประเทศ ประสาน ปปง. ตรวจสอบส่งออกทองไปกัมพูชาพุ่ง หวั่นเอี่ยวทุนเทา ยอมรับหารือเก็บภาษีเทรดทองออนไลน์ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป หวังลดแรงกดดันบาทแข็งในรอบ 4 ปี ยืนยันหลังพ้นตำแหน่งไม่เล่นการเมือง
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน” (Meet the Press) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเก็บภาษีเทรดทองคำออนไลน์เพื่อลดการแข่งขันของเงินบาทนั้น ยอมรับว่ามีการหารือกับสมาคมค้าทองคำจริง แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากมีผลกระทบกับหลายภาคส่วน จึงจำเป็นต้องหารือแนวทางที่เหมาะสม ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องมีการเก็บภาษีเทรดทอง เนื่องจากที่ผ่านมาคนไทยนิยมซื้อทองคำและเทรดทองคำ และไทยมีการส่งออกทองคำเป็นจำนวนมาก โดยซื้อขายเป็นเงินสกุลดอลล่าร์แล้วแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท จึงทำให้เงินบาทแข็งค่า โดยได้มีการหารือว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ซึ่งทางสมาคมค้าทองคำเสนอว่าให้มีการเทรดทองเป็นเงินดอลลาร์ แม้ปัจจุบันคนไทยใช้ดอลลาร์เทรดทองสูงขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังคงชินกับเทรดทองเป็นเงินบาท ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อสรุป คงต้องใช้ระยะเวลานานมาก เพราะมีผลกระทบกับหลายฝ่าย
ส่วนกรณีที่สมาคมค้าทองคำ เสนอให้ ธปท. เพิ่มเคลียร์ริ่งเฮาส์เงินตราต่างประเทศเพิ่มเติมจากที่มีเคลียริ่งเฮ้าส์เงินบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นข้อเสนอดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือแนวทางเพื่อให้การเทรดทองคำมีผลกระทบต่อค่าเงินบาทน้อยที่สุด

ส่วนที่ กกร. มีความเป็นห่วงว่ามีการส่งออกทองคำไปกัมพูชาจำนวนมาก ว่าจะเกี่ยวโยงกับเงินสีเทาหรือไม่นั้น ผู้ว่าการ ธปท. บอกว่าไม่สามารถตอบได้ แต่ก็มีความเป็นห่วง ซึ่งได้มีการประสานไปยัง ปปง.ให้ร่วมตรวจสอบแล้ว
ส่วนเงินบาทที่ตั้งแต่ต้นปีแข็งค่า 7% ธปท.ไม่ได้อยากเห็น เพราะไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน ปัจจัยหลักมาจากดอลลาร์อ่อนค่า สวนทางกับพื้นฐาน เพราะโดยปกติแล้วประเทศที่ขึ้นภาษี ค่าเงินจะแข็ง แต่กลับกลายเป็นว่าดอลลาร์อ่อน และยังมาซ้ำเติมด้วยทองคำที่มีการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลสูงกว่าที่คาด ก็จะเป็นตัวสนับสนุนไม่ให้เงินบาทอ่อนค่า
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวขออภัยที่การระงับธุรกรรมจากบัญชีม้า ผู้สุจริตไปสร้างความเดือดร้อนลำบากให้กับผู้สุจริตถูกผลกระทบไปด้วย
“เราเข้าใจคนทำมาหากิน คนเราทำมาค้าขายหาเงินมาก็ไม่ง่าย แต่บัญชีถูกระงับซึ่งก็เดือดร้อนอย่างหนัก” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท.ขอฝากให้นึกถึงความเดือดร้อนของคนที่ถูกมิจฉาชีพหลอกด้วย เพราะเงินออมและเงินที่หามาได้ไม่เหลือเลย ถ้าเทียบความลำบากที่โดนจากมิจฉาชีพ ซึ่งแบงค์ชาติพยายามปรับ ปลด ระงับบัญชีให้เร็วขึ้นภายใน 4 ชั่วโมงถึง 1 วัน พร้อมเปรียบมิจฉาชีพเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่ลุกลาม การรักษาด้วยการฉายแสงจึงหนีไม่พ้นที่จะโดนผลกระทบต่อคนสุจริต แต่ถ้าไม่ทำ ผลที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่านี้ ดังนั้นจึงต้องเดินหน้าไม่หยุด เพราะหลังจากที่มีการเข้มงวดพบว่าบัญชีม้าลดลง ขณะที่ต่างชาติจะมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศสีเทาเป็นประเทศที่สะดวกต่อมิจฉาชีพ ผลกระทบจะมหาศาล เช่น กรณีที่นักท่องเที่ยวจีนไม่มาท่องเที่ยวไทยเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย
ส่วนกรณีที่ประชาชนแห่ถอนเงิน เพราะขาดความเชื่อมั่นจนกังวลว่าธนาคารจะเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องนั้น ผู้ว่าการ ธปท.ย้ำว่า ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ยังเป็นปกติ การถอนเงินเกิดขึ้นเพียงบางสาขาเท่านั้น เป็นเฉพาะจุด ไม่ใช่เป็นปัญหาทั้งระบบ ทั้งนี้ การดำเนินการต่าง ๆ ในการคัดกรองบัญชีม้า ยังคงต้องดำเนินการต่อไป โดยจะต้องมีการติดตามเส้นทางการเงิน ส่วนบัญชีที่ถูกระงับ จะเร่งดำเนินการปลดระงับให้เร็ว
ผู้ว่าการ ธปท.ยืนยันว่าหลังพ้นตำแหน่ง จะไม่ลงเล่นการเมือง และหากย้อนเวลากลับไปได้ ก็จะยังเลือกที่จะดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผ่านวิกฤติมาหลายครั้งและถูกวิพากษ์วิจารณ์มาหลายหน แต่ยืนยันว่าตลอดระยะเวลา 5 ปี การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนการฝากงานต่อให้กับนายวิชัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่นั้น ได้มีการพูดคุยและหารือเป็นการส่วนตัว มาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวว่า เป็นห่วงเรื่องการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลชุดใหม่ เนื่องจากรัฐบาลมีอายุ 4 เดือน หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการยุบสภาฯ และเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาใกล้กับการจัดทำงบประมาณ ซึ่งหากไม่ทัน จะกระทบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังฝากถึงรัฐบาลใหม่ถึงการจัดทำโครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ให้คำนึงถึงเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลาง เพราะรัฐบาลมีกระสุนจำกัด และต้องชี้แจงที่มาของการหารายได้ให้กับสาธารณชนและต่างประเทศเข้าใจ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเครดิตเรตติ้งของประเทศ เพราะหากต่างชาติไม่เข้าใจ ไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดเครดิตได้
ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวอีกว่า ให้ระวังความเสี่ยงเรื่องการที่ คนจะเสพติดกับมาตรการกระตุ้น เหมือนในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่มีการลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 7% โดยกำหนดจะลดเพียง 2 ปี แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันภาษีมูลค่าเพิ่มยังคงอยู่ที่ 7% อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ยังฝากถึงรัฐบาลใหม่ ว่าการใช้มาตรการกระตุ้นในระยะสั้นทำได้ แต่ต้องไม่ลืมการปรับโครงสร้างในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะไม่เช่นนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะขาดเสถียรภาพ หากรัฐบาลทำได้ดี ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง รวมถึงการดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องเร่งรักษา ซึ่งครัวเรือนที่จนมีทรัพย์สินสุทธิติดลบ มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ กลุ่มคนรวยที่สุดมีเพียง 1% คิดเป็นจำนวน 2.4 แสนครัวเรือน มีสินทรัพย์ 13 ล้านครัวเรือน ที่จนที่สุดหรือเกือบครึ่งประเทศ 24 ล้านครัวเรือน
ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการทำงานและอิสระของธนาคารกลาง เหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐนั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า มีตัวอย่างในต่างประเทศให้เห็นแล้วว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลางเป็นสิ่งที่สำคัญ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่แล้ว เพราะถ้าไปแทรกแซงอาจเกิดเหตุการณ์คล้ายกับที่ตุรกี และศรีลังกา เราควรนำบทเรียนจากนานาประเทศมาศึกษา. -516-สำนักข่าวไทย