กรุงเทพฯ 3 ส.ค.-บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่นเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 3 ส.ค.นี้ โดยเคซีจีเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ใช้ชื่อย่อซื้อขายหลักทรัพย์ “KCG” ทันทีที่เปิดการซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ขึ้นทันที หลังก่อนหน้านี้ เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปมาแล้วในราคาหุ้นละ 8.50 บาทและเมื่อเปิดซื้อขายราคาหุ้น IPOอยู่ที่หุ้นละ 8.55 บาท
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KCG” ในวันที่ 3 สิงหาคม 2566 โดยบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ “Allowrie”
ทั้งนี้ KCG มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO 545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 390 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 155 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 21 และ 24 กรกฎาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,317.50 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,632.50 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.33 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขาย (fully diluted) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงจำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
นอกจากนี้ บริษัทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม เช่น “Imperial” “DAIRYGOLD” “bake master” “SUNQUICK” “Cookie choice” “Rosy” และ “Violet”รวมทั้ง บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ “Arla” และ “Emmi” โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (Business to Customer หรือ B2C) การขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (Business to Business หรือ B2B) และช่องทางส่งออก (Export)
นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG)กล่าวว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 64 ปี KCG ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการยกระดับ KCG Logistics Park หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม KCG มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี โดยบริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินของบริษัทฯ กระแสเงินสด การสำรองเงินไว้เพื่อลงทุนในอนาคต การสำรองเงินไว้เพื่อจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืม หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน โดยผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท กิมจั้ว กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือหุ้นรวมกัน 71.56% และหลังจากเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ของ บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำนวน 155 ล้านหุ้น ในราคา 8.50 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 20 – 21 กรกฎาคม และ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา และเมื่อเปิดการซื้อขายในตลาดหุ้นวันนี้ราคาต่อหุ้นขึ้นมา่อยู่ที่หุ้นละ 8.55 บาท ทันที ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นในศักยภาพการสร้างความเติบโตในอนาคตของ KCG
ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของ KCG โดยมีแผนขยายการลงทุนเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิต การสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารอย่างมีคุณภาพ ตลอดจนการจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกรอบการลงทุนระหว่างปี 2566-2567 โดยจะขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) และเนยเพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี และ 23,261 ตันต่อปีตามลำดับ พร้อมก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันจะมุ่งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังกลุ่มลูกค้า B2C ผ่านร้านสะดวกซื้อ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และแพลตฟอร์มออนไลน์ อีกทั้งเดินหน้ายกระดับการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า B2B ผ่านการจัดหาผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยยกระดับระดับโลจิสติกส์สู่ระบบ Cold Chain Fulfillment เพื่อให้รองรับการขนส่งสินค้าได้หลากหลายประเภท และจะขยายตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้รายได้จากการส่งออกของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ KCG ยังมุ่งสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยมุ่งเน้นในธุรกิจที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบไขมันนม ชีส น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพิ่มความสามารถในการจัดหาและบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน .-สำนักข่าวไทย