9 มี.ค. – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ประกาศพัฒนาโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ ด้วยการ Synergy ธุรกิจหลัก ได้แก่ Retail ที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างความแข็งแกร่งของระบบทั้งหมด เชื่อมโยงกับธุรกิจที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม รวมทั้งขยายไปสู่ธุรกิจ New Assets อื่นๆ
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ในระยะเวลา 42 ปี เซ็นทรัลพัฒนาไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนา ไม่เพียงสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจศูนย์การค้า แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจคอมมูนิตี้ มอลล์, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาให้ทุกส่วนเชื่อมโยงถึงกันแบบ Seamless Synergy และยังเชื่อมต่อไปสู่พันธมิตรธุรกิจ ผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้น เราจึงต้องการสร้าง ‘วิวัฒนาการ’ ให้เกิดขึ้น เดินหน้าสู่โมเดลธุรกิจแห่งอนาคตเป็น ‘The Ecosystem for All’ โดยมีธุรกิจ Retail เป็นแกนหลัก ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
The 360-Degree Centre of Life: เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ครบทุกองศา ทั้ง Offline & Online ทั้ง shop-eat-work-play-stay-live ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 365 วัน ทุกที่ ทั่วประเทศ โดยภายใน 5 ปี ทราฟฟิกในโครงการของเราจะเพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคนเป็น 1.8 ล้านคนต่อวัน หรือคิดเป็นการมาใช้บริการ 657 ล้านครั้งต่อปี สำหรับในปี 2566 นี้จะมีมิกซ์ยูสที่ครบทุกองค์ประกอบเพิ่มขึ้น ได้แก่ เซ็นทรัล อุบลราชธานี, เซ็นทรัล อยุธยา และเซ็นทรัล ระยอง
โดยในแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2566-2570) ลงทุนทุกธุรกิจรวมกว่า 135,000 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท โดยมีทั้งหมดมากกว่า 200 โครงการ ครอบคุลม 30 เมืองในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย ศูนย์การค้า 50 แห่ง, คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 แห่ง, ที่อยู่อาศัย 90 แห่ง, โรงแรม 37 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และพื้นที่ใหม่ๆ Flex Offices อีก 4 แห่ง โดยจะทำให้จำนวนโครงการมิกซ์ยูสเพิ่มขึ้นจาก 18 โครงการในปี 2566 เป็น 25 โครงการในปี 2570
นอกจากนี้ ยังได้วางแผนระยะยาว 5-10 ปีในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส Mega Projects รวม 5 โครงการ ซึ่งจะยกมาตรฐานให้กรุงเทพฯ เทียบเท่ามหานครระดับโลก อย่างนิวยอร์ก, โตเกียว หรือโซล โดยโครงการแรก Dusit Central Park จะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2568 รวมถึงอีก 4 โครงการใหญ่ที่แต่ละโครงการมีพื้นที่ GFA กว่า 350,000 ตร.ม. และเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท
Total B2B2C Solutions: การเชื่อมโยงการทำธุรกิจของพันธมิตรคู่ค้า สู่การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ครบวงจร ด้วยการลงทุนด้าน Digital Transformation & Technology Infrastructure ปีละ 300-500 ล้านบาท โดยได้มีการพัฒนา Data-driven Omnichannel ที่มีประโยชน์กับลูกค้า คู่ค้า และสังคม
The Place Making for Sustainable Future: ให้ความสำคัญทั้งด้าน ‘คน’ ด้วยการส่งเสริม Local Wealth โดยใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะมีพนักงานกว่า 6,500 คน พร้อมผลักดันการจ้างงานใน Ecosystem อีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง การเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีให้เกษตรกรและ SMEs ทั่วประเทศคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาทต่อปี และการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐและ CSR รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงการดูแล ‘สิ่งแวดล้อม’ เดินหน้าตามโรดแมป NET Zero 2050 อาทิ การประหยัดพลังงานไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท, ติดตั้ง Solar Rooftop และขยาย EV Charger Station อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ, การเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงการจัดการขยะและขยาย Recycle Shops ในศูนย์การค้า .- สำนักข่าวไทย