นนทบุรี 19 ม.ค.-กรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยความสำเร็จงานด้านการส่งเสริมการคุ้มครองสินค้า GI ไทยในต่างประเทศ ล่าสุดประเทศอินโดนีเซียรับจดทะเบียน GI ข้าวไทยเพิ่มอีก 2 รายการ ได้แก่ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ตอกย้ำคุณภาพข้าวไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตั้งเป้าสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมขยายตลาดส่งออกในอินโดนีเซีย สร้างงาน สร้างรายได้สู่เกษตรกรในชุมชนอย่างยั่งยืน
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าการส่งเสริมการจดทะเบียนสินค้า GI ในต่างประเทศเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลมุ่งมั่นดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสให้สินค้า GI ไทยได้รับความคุ้มครองในตลาดส่งออกสำคัญ พร้อมผลักดันมูลค่าการตลาดให้สูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสินค้า GI ไทยได้รับการจดทะเบียนในต่างประเทศ รวม 8 รายการ ครอบคลุมกว่า 30 ประเทศ ทั้งสหภาพยุโรป อินเดีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และเวียดนาม ได้แก่ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง กาแฟดอยช้าง กาแฟดอยตุง เส้นไหมไทยพื้นบ้านอีสาน ผ้าไหมยกดอกลำพูน มะขามหวานเพชรบูรณ์ และลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน
ทั้งนี้ ล่าสุด กระทรวงกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประกาศรับจดทะเบียน GI ข้าวไทยเพิ่มอีก 2 รายการ ได้แก่ “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” และ “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ต่อจากสินค้า “ผ้าไหมยกดอกลำพูน” ที่ได้รับจด GI ในอินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ. 2559 ช่วยขยายตลาดการส่งออกของไทย
สร้างรายได้ให้เกษตรกรท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมเดินหน้าผลักดันการจดทะเบียนสินค้า GI ซึ่งเป็น Soft Power ของไทยที่มีศักยภาพ ให้ได้รับความคุ้มครองในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า GI เกษตรและอาหาร เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ในจีน กาแฟดอยช้างและกาแฟดอยตุง ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น” นายสินิตย์ กล่าว
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง มีลักษณะเด่นคือ เมล็ดข้าวเรียวเล็ก อ่อนนุ่ม และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ข้าวกล้องมีสีแดงจนถึงแดงเข้ม ข้าวสารมีสีขาวปนแดงหรือสีชมพู ในแต่ละปีมีปริมาณการผลิตมากกว่า 8,000 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรในท้องถิ่น
กว่า 104 ล้านบาท ส่วน ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ มีลักษณะเด่นคือ เมล็ดข้าวยาวเรียวและไม่มีหางข้าวเมื่อหุงสุกจะมีกลิ่นหอมและนุ่ม ปลูกในพื้นที่ 5 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคามและยโสธร ในแต่ละปีมีปริมาณการผลิตกว่า 24,500 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรในท้องถิ่นกว่า 266 ล้านบาท ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นอีกหนึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญ ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว GI ไทยทั้ง 2 รายการ และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนต่อไป.-สำนักข่าวไทย