ริยาดฯ 29 ส.ค.-รัฐมนตรีพาณิชย์เผยผลหารือรัฐมนตรีระดับสูงซาอุฯ 5 หน่วยงานเห็นชอบให้เดินหน้าทำกรอบเอฟทีเอไทย-กลุ่มอาหรับ GCC และความร่วมมือภาครัฐและเอกชน 2 ประเทศในกรอบ JTC มั่นใจการค้าการลงทุนทุกด้านจะเติบโตหลังจากนี้ ฟันธงปีนี้มูลค่าการค้า 2 ฝ่ายเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแน่ ขณะที่ซาอุฯมีแผนขยายเมืองและที่อยู่อาศัยมากถึง 500,000 แห่งต้องการ แรงงาน วัสดุก่อสร้างและอื่นๆ เพียบ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเผยหลังหารือกับ คณะภาครัฐซาอุฯ โดยเฉพาะ 5 รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญของซาอุฯ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ แรงงาน ท่องเที่ยว การลงทุน และ อุตสาหกรรม/เหมืองแร่ รวมถึง ประธานสภาหอซาอุฯ และ ประธานองค์การอาหารและยาซาอุฯโดยขณะนี้ มกุฎราชกุมารซาอุฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไทยอย่างมาก และได้สั่งการให้รัฐมนตรีทุกคนให้ความร่วมมือกับไทยอย่างเต็มที่ทุกมิติ
ทั้งนี้ ผลสรุปจากการหารือร่วมในครั้งนี้ ประกอบด้วย คือ 1. การเยือนครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-ซาอุฯ อย่างเป็นทางการ ทั้งกลไกแบบรัฐต่อรัฐ (FTA และ JTC) และเอกชนต่อเอกชน (สภาธุรกิจร่วม) เป็นต้น โดยทางซาอุฯ รับเรื่องจะขอไปคุยกับ 6 ชาติอาหรับ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ บาห์เรน เยเมน เขตปกครองด้านตะวันออกของลิเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่จะให้เกิดกรอบความร่วมมือเอฟทีเอภายใต้ 6 กลุ่มอาหรับขึ้นให้ได้ในอนาคตไม่นานนี้ ซึ่งหากความร่วมมือเอฟทีเอภายใต้ GCC เกิดขึ้นถือว่าประเทศไทยเป็นกลุ่มประเทศที่ 2 รองจากสิงค์โปร์ที่ได้ทำเอฟทีเอกับ 6 ประเทศอาหรับด้วยกัน
นอกจากนี้ ก่อนที่จะเห็นกรอบความร่วมมือ GCC เกิดขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งกลไก JTC ระหว่างกัน และจัดทำ roadmap แผนการดำเนินการชัดเจน โดยตั้งเป้าหมายให้มีการลงนาม memorandum of cooperation: MOC เพื่อจัดตั้ง JTC โดยเร็วภายในไม่เกินเดือน ธ.ค. 65 หรืออาจจะเร็วกว่านี้ ร่วมทั้งยังยินดีที่ภาคเอกชนของทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุความตกลงร่วมกันในการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-ซาอุดิอาระเบีย Thai-Saudi Business ซึ่งจะมีการลงนาม MOU ร่วมกันในการเดินทางมาครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยินดีสนับสนุน Saudi Vision 2030 ใช้โอกาสที่ซาอุฯ พัฒนาเมืองนีอุม สนับสนุนสินค้าที่ซาอุฯ ต้องการ อาทิ วัสดุก่อสร้าง บริการออกแบบ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร และฝ่ายซาอุฯ ตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในการเร่งรัดผลักดันให้ SFDA เดินทางมาตรวจโรงงานไก่ไทยที่ขออนุญาตส่งออกเพิ่มอีก 28 โรงงานโดยเร็ว ตลอดจนพิจารณาตรวจโรงงานฮาลาลเนื้อสัตว์ประเภทอื่นเพิ่มเติม (อาหารทะเลแปรรูป เนื้อโค/แพะ) ซึ่งไทยจะยื่นรายชื่อโรงงานทั้งหมดให้กับ SFDA วันที่ 30 สค. นี้ และซาอุฯ รับจะอำนวยความสะดวกให้กับนักธุรกิจไทยในการทำวีซ่า จากเดิมที่ต้องให้บริษัทคู่ค้าซาอุฯ ทำหนังสือเชิญมา จะอนุญาตให้สภาหอ/สภาอุตฯ/สภาเรือของไทยทำหนังสือขอวีซ่าที่สถานทูตได้โดยตรง
นอกจากนี้ ซาอุฯ ขอรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยเฉพาะเรื่อง การบริการด้านต่างๆ เช่น สุขภาพ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ที่ไทยมีจุดแข็ง โดยขณะนี้ ตั้งเป้าหมายจะอนุญาตให้พยาบาลต่างชาติเข้ามาทำงานในซาอุฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นโอกาสดีของพยาบาลจากประเทศไทย เนื่องจากมีความสามารถเป็นที่ยอมรับ และซาอุฯ เชิญนักธุรกิจไทยมาร่วมงานแฟร์ ในซาอุฯ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในสินค้าไทย ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ผลไม้ เฟอร์นิเจอร์ การออกแบบก่อสร้าง รวมถึง soft power เช่น มวยไทย ที่ได้รับความนิยมมาก และซาอุฯ มีแร่ธาตุหลากหลายชนิด จึงขอเชิญไทยเยือนงาน Future Investment Initiative: FII เดือน ตค. 65 เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกันในการใช้ทรัพยากรดังกล่าวให้เกิดประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม และที่สำคัญซาอุฯ วางแผนจะมีโครงการสร้างบ้านที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมอีก 500,000 แห่ง และต้องการการร่วมมือกับไทยในหลายๆด้าน เช่นแรงงาน วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งไทยยินดีสนับสนุน
“ถือว่าการนำคณะเยือนซาอุฯในครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะการจัดทำกรอบความร่วมมือการค้าและการลงทุนทั้งเอฟทีเอและ JTC เป็นประวัติศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศเป็นอย่างมาก จะทำให้การค้าการลงทุนในทุกมิติของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมถึงกลุ่มอาหรับจะเป็นประตูการค้าของไทยอย่างมาก ซึ่งผู้บริโภคซาอุฯชื่นชอบสินค้าไทย ดังนั้น โอกาสที่ตัวเลขส่งออกของไทยจะเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้มูลค่าการค้าระหว่างกันเติบโตกว่าร้อยละ 26 หรือคิดเป็นมูลค่า 1,112 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทมากกว่า 38,000 ล้านบาท และคาดว่าตลอดปี 65 จะมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้อย่างแน่นอน” นายจุรินทร์กล่าว.-สำนักข่าวไทย