ผู้บริหาร บมจ.เคหะสุขประชา แจงปมถูกพาดพิงในอภิปรายไม่ไว้วางใจ

กรุงเทพฯ 27 ก.ค.- ผู้บริหาร บมจ.เคหะสุขประชา แจงกรณีถูกพาดพิงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยืนยัน “เซ็มโก้” มีสภาพคล่องทางการเงินและมีกำไร สามารถรับงานได้ ขณะที่ “โครงการเคหะสุขประชา” เป็นธุรกิจเพื่อสังคม สามารถบริหารให้คืนทุนได้ภายใน 10 ปี ไม่ต้องใช้เวลาถึง 200 ปี ตามที่ถูกกล่าวอ้าง


นายพิษณุพร อุทกภาชน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เคหะสุขประชา จำกัด (มหาชน) ชี้แจงถึงกรณีถูกพาดพิงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นที่ว่า บริษัทจัดการทรัพย์สินและชุมชน จำกัด หรือ CEMCO (เซ็มโก้) ไม่มีเงินแล้วมารับงานของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้อย่างไร

กรณีนี้นายพิษณุพร ชี้แจงว่า การกล่าวหาในประเด็นดังกล่าวอาจเกิดจากการเข้าใจข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และผิดช่วงเวลา ทั้งนี้ บริษัทเซ็มโก้ ก่อตั้งเมื่อปี 2538 เป็นบริษัทในเครือการเคหะแห่งชาติ ร่วมกับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮดิ้ง จำกัด (มหาชน), บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร, นิติบุคคลอาคารชุด, นิติบุคคลอาคารเช่า พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่ และดำเนินการด้านอื่นๆ ตามภารกิจที่การเคหะแห่งชาติมอบหมาย


ในยุคก่อนที่ตนเข้ามาบริหารประมาณปี 2558 สตง.ตรวจพบปัญหาความผิดปกติเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนในบริษัทเซ็มโก้ มีการตั้งญาติของอดีตผู้บริหาร กคช.มาเป็นผู้จัดการเซ็มโก้ ที่นำทรัพย์สินบางส่วนของ กคช.ไปให้สมาคมเช่า แต่รายได้กลับไม่เข้า กคช. ต้องเปลี่ยนแปลงกับระบบนายทุนผูกขาดที่หากินกับการเคหะแห่งชาติมายาวนาน คณะกรรมการฯ ออกระเบียบและข้อบังคับการจัดการทรัพย์สินให้ชัดเจน มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและส่งรายงานไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึง 3 เรื่อง พร้อมเร่งคืนเงินประกันซึ่งเก็บไว้ประมาณเกือบ 10 ปี สูงถึง 1,400 ล้านบาท ที่บริษัททั้งหลายมาวางค้ำประกันไว้ โดยผู้บริหาร กคช.นำเงินคืนให้บริษัททั้งหลายภายใน 3 เดือน 90% ของงบ พร้อมปรับภารกิจของธุรกิจเซ็มโก้ เพื่อให้สถานะทางการเงินเข้มแข็งตามข้อเสนอของ สตง. รวมถึงให้ปรับปรุงสถานะทางการเงินให้ฟื้นตัวจากขาดทุนมาเป็นกำไร และตั้งกรรมการปิดบัญชีเอื้ออาทร ซึ่งเป็นภาระให้รัฐบาลมานานมาก

นายพิษณุพร ย้ำว่าเมื่อรัฐมนตรีและคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาบริหาร โดยกู้เงินมาแก้ปัญหาเดิม และเร่งสร้างกำไร ก็ทำให้เซ็มโก้เริ่มกลับมามีกำไรตั้งแต่ปี 62 จำนวน 100,000 บาท/ปี 63 จำนวน 4 ล้านบาท/ กระทั่งปี 64 สามารถพลิกฟื้นบริหารองค์กรให้สามารถกลับมารับงานได้ และมีกำไรสะสมอีกกว่า 2.4 ล้านบาท โดยใช้เวลาฟื้นฟูกิจการได้ภายใน 4 ปี จากที่เคยมีพนักงาน 200 คนในปี 59 ตอนนี้มีเพิ่มเป็น 1,300 คน และจากที่เคยมีรายได้ ปีละ 70 ล้านบาท ตอนนี้เพิ่มเป็นกว่า 800 ล้านบาท พร้อมย้ำบริษัทเซ็มโก้ ไม่เคยรับเงินวางค้ำประกัน 15% ไม่เคยใช้สิทธิ์นี้ เพราะต้องใช้หลักประกันเพิ่ม

ส่วนอีกประเด็นที่ถูกพาดพิงว่าโครงการเคหะสุขประชา ต้องใช้เวลา 200 ปี กว่าจะคืนทุน ก็ไม่ใช่ความจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นไม่มีทางที่ ครม.จะอนุมัติอย่างแน่นอน โดย บมจ.เคหะสุขประชา จัดตั้งตามที่การเคหะแห่งชาติได้รับอนุมัติจาก ครม.เมื่อ 9 พ.ย.2564 เพื่อช่วยให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยและมีอาชีพ โดยการเคหะแห่งชาติถือหุ้น 49% และผนึกกำลังกับพันธมิตรถือหุ้น 51% โดยมีเป้าหมายสร้างบ้าน 100,000 หน่วย ภายใน 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2564- 2568 โดยสร้างปีละ 20,000 หน่วย รวมทั้งช่วยสร้างอาชีพ และรายได้ให้ผู้อยู่อาศัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการของแต่ละพื้นที่ โดยจะมี 6 อาชีพในโครงการ ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ ปศุสัตว์ อาชีพบริการชุมชนและชุมชนข้างเคียง ตลาด อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และศูนย์การค้าปลีก – ส่ง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน


โดยมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท  และได้มีการแต่งตั้งบอร์ดบริหาร ซึ่งมีการตรวจสอบเป็นอย่างดี และกรรมการแต่ละท่านก็ไม่ได้อยู่ในภาคอสังหาฯ จึงไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการระดมทุนเองจากเอกชนในตลาด หาเม็ดเงินมาทำโครงการให้ กคช. โดยไม่ได้ใช้เงินจากรัฐบาล แต่ทำงานเพื่อรัฐ และที่ไม่มีภาคเอกชนเข้ามาทำงานในครั้งนี้ เพราะเรากำหนดเรื่องค่าเช่าบ้านไว้ ที่จะสามารถอยู่ได้ต่อปี ไม่มากแค่ 5% ถ้าจะให้สูงกว่านี้ 13-15% เหมือนตลาดอสังหาฯ ทั่วไป ชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้ และคิดว่าเอกชนรายอื่นก็จะไม่สามารถทำได้ เลยต้องให้บริษัทลูกทำงาน คือ บมจ.เคหะสุขประชา โดยดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และอนาคตมีเป้าหมายที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว เพราะมีกระบวนการตรวจสอบ และโปร่งใสอย่างชัดเจน และการเข้าตลาดไม่ใช่เข้าไปเก็งกำไร แต่มันคือการระดมทุนเม็ดเงินมาทำงานเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้คนยากไร้ และพร้อมกับอาชีพให้ด้วย
 
สำหรับโครงการนี้เป็นธุรกิจเพื่อสังคม สามารถบริหารให้คืนทุนได้ภายใน 10 ปี โดยมีรายได้มาจากค่าเช่าและค่าบริหารจัดการธุรกิจอื่นๆ ภายในโครงการ และที่ถูกพาดพิงว่าต้องใช้เวลา 200 ปี กว่าจะคืนทุนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะสภาพัฒน์คงไม่อนุมัติโครงการแบบนี้ได้ แต่สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ วิธีการทำงาน วิธีคิด จากการทำกำไรในเชิงพาณิชย์ มาเป็นการคืนกำไรแก่สังคม เปลี่ยนการขายบ้านมาให้คนรายได้น้อยเช่าราคา 999-3,500 บาท แล้วแต่ขนาด ถูกกว่าตลาด 40% ประชาชนอยู่ได้ตลอดชีวิต และไม่ใช่แค่การสร้างบ้าน แต่เป็นการสร้างบ้านพร้อมส่งเสริมอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่การเคหะแห่งชาติไม่เคยทำมาก่อน แต่รัฐบาลชุดนี้ได้ทำและทำอย่างจริงจัง เพื่อแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า จึงได้จัดตั้ง บมจ.เคหะสุขประชา มาเร่งดำเนินการ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

อดีตครูจำใจสร้างห้องขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา

สลด! อดีตครูวัย 64 ปี จำใจจ้างช่างทำห้องคล้ายกรงขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา-พนันออนไลน์ หลังส่งตัวบำบัดกว่า 10 ครั้ง แต่ออกมาก็เหมือนเดิม

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2 โชคดีบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ส่งรักษาตัวที่ รพ.เจ้าพระยา

อาม่าแจ้งความ “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธีสูญ 60 ล้าน

อาม่าวัย 77 ปี โร่แจ้งความเอาผิด “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธี-แนะซื้อวัตถุมงคลแล้วไม่ได้รับของ สูญเงินกว่า 60 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

ทนายตั้ม

“ทนายตั้ม” ปรากฏตัวแล้ว บอกไม่สบายใจมี ตร.เฝ้าหน้าบ้าน

ปรากฏตัวแล้ว “ทนายตั้ม” พบตำรวจเหตุมีเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าที่บ้าน พร้อมแจงปมเงิน 39 ล้านบาท ค่าศิลปินจีน ที่แท้เป็นมิจฉาชีพหลอก “เจ๊อ้อย” ปฏิเสธพบคู่กรณี บอกยังไม่พร้อมคุย

เกาะกูด

“ภูมิธรรม” ย้ำจะรักษาผลประโยชน์ทางทะเลของไทยไว้เท่าชีวิต

“ภูมิธรรม” มอง MOU44 คือกลไกที่ดีที่สุด ก่อนย้อนกลุ่มการเมือง พปชร.ไปถามหัวหน้าพรรคตัวเอง เพราะเป็นคนนำเจรจาในปี 57 ยันไม่เคยยกเลิกในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ย้ำรัฐบาลจะรักษาดินแดน-ผลประโยชน์ทางทะเลของไทยไว้เท่าชีวิต

US election

ทรัมป์-แฮร์ริส หาเสียงวันสุดท้าย ก่อนหย่อนบัตรวันนี้

ขณะนี้เหลือไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 5 พฤศจิกายน ผลสำรวจความเห็นประชาชนต่างชี้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางคอมมาลา แฮร์ริส