กรุงเทพฯ 10 มิ.ย.-ประธานเครือสหพัฒน์ เผยหลายสาเหตุกระทบต้นทุน เตรียมเสนอกระทรวงพาณิชย์พิจารณาขยับขึ้นราคามาม่า แม้เป็นสินค้าควบคุม แต่ต้นทุนวัตถุดิบหลายชนิดเพิ่มขึ้นมาก หากดูต่างประเทศก็ขึ้นไปหลายประเทศแล้ว ย้ำจะขึ้นแค่ไหนขอหารือกับกระทรวงพาณิชย์ก่อน พร้อมชมหลายแนวทางรัฐบาลทำได้ดี
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวยอมรับว่า จากปัญหาสงครามรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นมาหลายเดือน ทำให้สินค้าหลายรายการของเครือสหพัฒน์ต้องแบกรับต้นทุนในด้านต่าง ๆ อย่างมาก และถือว่ารุนแรงกว่าเมื่อ 26 ปีก่อน และยังไม่รู้ว่าสงคราม 2 ประเทศจะยุติเมื่อไหร่ จึงเป็นปัญหาการสำรองวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบประเภทข้าวสาลี และน้ำมันปาล์ม ที่มีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้น ทางกลุ่มได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า มีความจำเป็นต้องขยับราคากลุ่มสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นตามผลกระทบต่อต้นทุนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่สามารถบอกได้ว่า ราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปควรจะขึ้นเท่าไหร่ ซึ่งปัจจุบันราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่อซองขายอยู่ที่ 6 บาท ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกับทางกระทรวงพาณิชย์ก่อนว่าจะปรับขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพราะกลุ่มสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ จึงต้องพิจารณาร่วมกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนเดือดร้อนมากจนเกินไป ที่สำคัญหากไม่ขอปรับขึ้น เอกชนก็อยู่ไม่ไหว ซึ่งหลายประเทศก็ขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน แต่ของไทยยังตรึงราคาไว้นานพอสมควร
“อยู่ที่กระทรวงพาณิชย์จะเมตตา ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบคราวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ค่อย ๆ ปรับขึ้น แต่ครั้งนี้ขึ้นพรวดเดียว และที่ผ่านมาทางกลุ่มได้จองซื้อวัตถุดิบแบบล่วงหน้า หากไม่จองอาจเกิดของขาด และถ้าหากควบคุมราคาไว้นาน อาจจะมีเกิดสินค้าขาดแคลน แต่ถ้าปล่อยให้ทยอยปรับขึ้นบ้าง ก็เชื่อว่าไม่น่าจะปัญหาโดยรวมแน่ แม้จะเกิดผลกระทบจากสงคราม แต่มองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังดีและได้เปรียบประเทศอื่น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกอาหาร ซึ่งมีเพียงพอบริโภคในประเทศ แต่หลายสินค้าจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าเพื่อบริโภคและส่งออก” นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อเสนอแนะอะไรต่อรัฐบาลหรือไม่ นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่บังอาจเสนออะไร แต่มองว่ามาตรการต่าง ๆ ที่รัฐทำอยู่ใช้ได้ คนวัยรุ่นอาจจะมองไม่ดี แต่คนวัยอย่างตนมองเทียบกับสมัยก่อนดีกว่าเยอะ และประเมินว่า เศรษฐกิจปี 65 จะขยายตัว 2-3% ตามจีดีพี ซึ่งเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ถ้าเทียบกับเอเชียด้วยกัน และการส่งออกยังมีโอกาสอีกมาก เพราะไทยเป็นประเทศที่ทำอาหาร และหากรัฐบาลมีงบประมาณ การออกมาตรการคนละครึ่งได้ก็ไม่เลว เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนด้วย.-สำนักข่าวไทย