นนทบุรี 23 เม.ย.-กรมพัฒนาธุรกิจการค้าร่วมกับ ก.ล.ต.แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. 2544 เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีการประกอบธุรกิจของบริษัท และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการคุ้มครองผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทในภาพรวม
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. 2544 ครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
- แก้ไขเพิ่มเติมรายการเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืน มติที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนและการแก้ไขหรือยกเลิกการซื้อหุ้นคืน และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขหรือยกเลิกการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทราบข้อมูลครบถ้วน สมบูรณ์ขึ้น
- กำหนดให้กรรมการมีอำนาจในการอนุมัติการซื้อหุ้นคืนที่มีจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดได้ หากมีข้อบังคับกำหนดไว้
- ปรับปรุงถ้อยคำเกี่ยวกับวิธีการซื้อหุ้นคืนและวิธีการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนในกรณีหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- ลดระยะเวลาการซื้อหุ้นคืนครั้งใหม่จาก 1 ปี เป็น 6 เดือน และลดระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัทจาก 6 เดือน เป็น 3 เดือน ทำให้บริษัทสามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น
- เพิ่มเติมวิธีการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน ให้สามารถจำหน่ายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม กรรมการหรือพนักงานของบริษัท (ESOP)
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขเพิ่มเติมกฎดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับแนววิถีการประกอบธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทำให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจน เป็นการคุ้มครองผู้ถือหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น อำนวยความสะดวก และเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทในภาพรวม
อีกด้วย.-สำนักข่าวไทย