กรุงเทพฯ 31 มี.ค. – ชายวัย 50 ปี ยกมือไหว้ขอโทษ ไม่มีเจตนากุเรื่องภรรยาท้อง 4 เดือน ติดใต้ซากอาคาร สตง.ถล่ม ด้านรอง ผบช.น. เตือนอย่าใช้โอกาสที่มีผู้ประสบเหตุสร้างความสงสารหลอกเอาทรัพย์สิน มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) สอบปากคำนายสมนิจ อายุ 50 ปี ภายหลังจาก น.ส.กรวิภา อายุ 25 ปี ผู้เสียหาย เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน หลังถูกนำชื่อไปแอบอ้างว่าเป็นภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว อายุครรภ์ 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียน โซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารที่กำลังก่อสร้าง
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมีความเป็นห่วงเรื่องที่มีกระแสข่าว จึงให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้ ซึ่งได้ยืนยันข้อเท็จจริงสิ่งที่นายสมนิจให้ข่าวออกไปเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง อาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อและได้มาซึ่งทรัพย์สิน และให้ติดตามตัวนายสมนิจ เพราะเชื่อว่ายังอยู่ใกล้เคียงพื้นที่เกิดเหตุ โดยช่วงเย็น นายสมนิจ เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ไปยังหมอชิต เชื่อว่ามีเจตนาน่าจะหลบหนี เพราะเริ่มเป็นข่าวว่าตัวเองกุเรื่องขึ้นมา ทั้งนี้ ทางผู้เสียหายมาแจ้งความไว้ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทางพนักงานสอบสวนจึงสอบปากคำไว้
นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ไลฟ์หลงเชื่อให้เงินกับนายสมนิจ 10,000 บาท ก่อนจะทราบในภายหลังว่าเป็นเรื่องโกหก ไม่เป็นความจริง จึงได้เงินจำนวนนี้คืน แต่ความผิดในข้อหาฉ้อโกงสำเร็จแล้ว ตำรวจจึงติดต่อหาผู้เสียหายให้มาแจ้งความเรื่องฉ้อโกง
จากการค้นตัวพบบัตรบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของผู้เสียหายที่นายสมนิจอ้างว่าเก็บได้แถวถนนลาดพร้าว และพกติดตัวไว้ตลอด รวมถึงอ้างว่าผู้เสียหายเป็นภรรยา ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยทางผู้เสียหายได้คืนบัตรพนักงานตั้งแต่ปี 2562
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่าจะดำเนินคดีกับนายสมนิจทุกข้อหาในทุกความผิดที่พบ และฝากเตือนไปยังประชาชนหรือบุคคลใดก็ตามที่จะใช้โอกาสที่มีผู้ประสบภัยเป็นเครื่องมือทำมาหากิน การอ้างเหตุหลอกลวงสร้างความสงสารและความเห็นใจ เล่นกับความรู้สึกที่ต้องการทรัพย์สินหรือสิ่งอื่นใดจากการรับบริจาค เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และหากออกตามสื่อจะผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 จึงไม่อยากให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
ด้านหัวหน้างานของผู้เสียหาย กล่าวว่า ผู้เสียหายไม่ทราบเรื่อง เพิ่งมาทราบช่วงกลางวันที่ผ่านมา จึงมาแจ้งความที่สถานีตำรวจ อยากให้ประชาชนเสพข่าวอย่างมีสติ ให้ค้นหาความจริงอย่างละเอียดก่อน เพราะเป็นผลลบกับผู้เสียหาย ทั้งความรู้สึก รวมถึงครอบครัวที่ทราบข่าว ลุงโกหกคนทั้งประเทศ
จากการตรวจสอบพบว่าในปี 2558 นายสมนิจมีประวัติในข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา ทั้งนี้ นายสมนิจยกมือไหว้ ขอโทษผู้เสียหาย ขอโทษสื่อมวลชน และประชาชน พร้อมยืนยันไม่มีเจตนาหลอกลวง.-419-สำนักข่าวไทย