กรุงเทพฯ 22 เม.ย.- “เกรียงไกร เธียรนุกุล” นั่งประธาน ส.อ.ท.คนใหม่ ประกาศเร่งสร้างความแข็งแกร่งอุตสาหกรรมไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คนใหม่ ประกาศพร้อมสานต่องานคณะกรรมการบริหารชุดเดิม ชูวิสัยทัศน์ One Vision, One Goal and OneTeam เชื่อมโยงบุคลากรภายใน และประสานองค์กรภายนอก โดยสิ่งที่จะต้องทำทันที คือ การสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย ให้ประเทศไทยแข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งการช่วยเหลือ เอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบหนักให้ฟื้นตัว โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ผลักดันให้เอสเอ็มอีทั่วประเทศเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการหาตลาดให้เอสเอ็มอี ช่วยทำตลาด ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ในส่วนของการสร้างความเข็มแข็งที่สามารถทำได้เลย คือ โครงการ 1 จังหวัด 1 อุตสาหกรรม โดยทาง ส.อ.ท. แต่ละจังหวัดจะไปหารือกับทางจังหวัด แล้วกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายในการพัฒนาโดย ส.อ.ท.จะดึงศักยภาพของ 45 กลุ่มอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมยกระดับและพัฒนา รวมถึงมุ่งพัฒนาโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture Industry) หรือ SAI ที่จะนำร่อง SAI In The City ที่กทม.โดยเน้นการทำ Plant Based ซึ่งเป็นอาหารที่จะทำจากพืชเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์ โดยโครงการนี้จะสอดรับกับนโยบาย BCG โมเดล แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยยังเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและชิ้นส่วน จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านห่วงโซ่การผลิต ส.อ.ท.กำลังจะช่วยผู้ประกอบการ เรื่องซัพพลายเชน โดยการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อให้พึ่งพาต่างประเทศให้น้อยที่สุด สำหรับทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตจะเป็นเรื่องของ S-Curve industries , BCG และ Climate Change
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กังวลขณะนี้คือราคาน้ำมันดีเซล ที่กำลังจะสูงขึ้น หลังครบกำหนดมาตรการตรึงราคาลิตรละ 30 บาท และการลดภาษีสรรพสามิต ลิตรละ 3 บาทนั้น ในเดือน พ.ค. ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันขึ้นแน่นอน และจะมีผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า ทำให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อระดับราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก และจะส่งผลต่อภาวะอัตราเงินเฟ้อทั่วไปให้สูงขึ้นอีก ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เดือน พ.ค.นี้ จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวหารือร่วมกันด้วย
ส่วนราคาสินค้ามีปรับขึ้นมาแล้วบางรายการ ทั้งนี้ขึ้นกับสตอกของแต่ละแห่ง ซึ่งยอมรับว่าตอนนี้ สตอกเก่าเริ่มหมด สตอกใหม่ต้นทุนก็สูงขึ้น สินค้าจึงต้องปรับขึ้น แต่จะขึ้นมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม จึงมองว่าหากดีเซลจะขยับก็ขออย่าขยับแรงจนช็อก ขอให้ขึ้นเป็นขั้นบันได
อย่างไรก็ตามภาคเอกชน เชื่อการเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากขึ้น ซึ่งจะสร้างรายได้ เกิดการจ้างงาน เกิดเงินหมุนเวียน ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า การพิจารณาขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของคณะกรรมการไตรภาคี ไม่ควรให้เป็นเรื่องการเมือง เช่น ควรพิจารณาจากทักษะของแรงงาน เพราะนายจ้างยินดีที่จะจ่ายแพงหน่อย หากทำงานได้ .-สำนักข่าวไทย