กรุงเทพฯ 9 มี.ค.-หอการค้าไทยหวั่นสถานการณ์ ‘รัสเซีย-ยูเครน’ พร้อมร่วมมือกับภาครัฐ วางแผนรับมือวิกฤติพลังงานล่วงหน้า
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยยังคงติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อแม้ว่า ค่าเงินรูเบิลจะอ่อนค่าลงเป็นอย่างมาก แต่เศรษฐกิจของรัสเซียก็ยังมีความเข้มแข็งมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัสเซียจะยังไม่ได้ใช้กำลังทางทหารอย่างเต็มที่ สะท้อนให้เห็นว่ายังมีโอกาสในการเจรจาอยู่ แต่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจของไทยย่อลงจากที่คาดการณ์ไว้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลยังสามารถตรึงราคาน้ำมันได้จนถึงเดือนมิถุนายน ทั้งนี้อาจจะต้องเตรียมแผนรับมือล่วงหน้า เพราะสถานการณ์มีโอกาสยืดเยื้อสูง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงต่อไปทั้งปี
“ภาคเอกชนขอขอบคุณรัฐบาลที่เข้าใจความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาราคาพลังงานในขณะนี้ ทั้งนี้ มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ภายใน 6 เดือนนี้ จะเป็นการบรรเทาผลกระทบได้ส่วนหนึ่ง โดยประชาชนจะมีภาระค่าไฟฟ้าที่ลดลงประมาณ 1-1.5 บาทต่อหน่วย แต่ก็ควรต้องเตรียมแผนในด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะสถานการณ์ขณะนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ทำให้ประเมินได้ยากว่าประเทศไทยจะสามารถตรึงสถานการณ์ราคาเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด” นายสนั่น กล่าว
ทั้งนี้ หอการค้าไทยกำลังติดตามต้นทุนราคาสินค้าที่จะสูงขึ้นหลังจากนี้ ยกตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทธัญพืชต่าง ๆทั้ง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาจประสบภาวะขาดแคลน สิ่งเหล่านี้จะกระทบกับต้นทุนสินค้าอาหาร นอกจากนั้น วัตถุดิบจำพวกสินแร่ต่าง ๆ (Rare Earth) อาจจะกระทบกับการผลิตแผงวงจรไฟฟ้า และการผลิตชิพ และอาจทำให้ต้นทุนการนำเข้าของบางสินค้ากระทบด้วย จึงขอให้ภาครัฐและภาคเอกชนเตรียมตัวรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วย สินค้าอีกกลุ่มที่หอการค้าไทยกังวลอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องราคาปุ๋ยที่จะแพงขึ้น เพราะไทยนำเข้าปุ๋ยประมาณ 5 ล้านตันต่อปี หากราคาปุ๋ยมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรก็จะใส่น้อยลง ผลผลิตก็จะน้อยลงตามไปด้วย อันหมายถึงรายได้ของเกษตรกรที่จะหายไป ซึ่งปัญหานี้คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน ดังนั้น รัฐบาลควรเตรียมแนวทางหรือมีนโยบายในการแก้ไขปัญหานี้ เช่น การหาแหล่งนำเข้าแห่งใหม่จากประเทศอื่น หรือแนวทางการนำปุ๋ยอินทรีย์มาใช้ทดแทน ทั้งนี้ อาจจะต้องมีการปรับสูตรปุ๋ยใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยจะเร่งหารือกับภาครัฐต่อไป เพื่อเป็นทางออกให้ผู้ประกอบการในด้านผลกระทบจากการนำเข้าส่งออกระหว่างไทย-รัสเซีย และไทย-ยูเครน แม้ว่ามีผลกระทบโดยตรงไม่มากนัก แต่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะผลกระทบทางอ้อมเยอะมาก และกระทบไปทั่วโลก ดังนั้นราคาสินค้าหลายอย่างจึงสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นแล้ว ซึ่งที่น่าเป็นกังวลอีกส่วนหนึ่งก็คือ ราคาค่าขนส่ง โดยเฉพาะค่าระวางเรือระหว่างประเทศ ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อการส่งออกที่เป็นเครื่องจักรหลักในการฟื้นเศรษฐกิจไทย จึงควรให้มีแนวทางรักษาระดับค่าเงินบาทให้อ่อนค่าต่อไป
นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังมีความเป็นห่วงว่า เศรษฐกิจของไทยจะมีโอกาสเกิด stagflation หรือภาวะที่มีเงินเฟ้อสูงในขณะที่เศรษฐกิจยังเติบโตต่ำ ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากเกินกว่ารายได้ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ดังนั้น หอการค้าไทยเห็นว่า การท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีของไทย ดังนั้น ประเทศไทยควรวางตัวเป็นกลางในเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทุกประเทศได้ตามปกติ สำหรับนักท่องเที่ยวรัสเซีย-ยูเครนที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยควรจะมีมาตรการดูแลช่วยเหลือให้เหมาะสมด้วย ซึ่งคาดว่าขณะนี้ภาครัฐกำลังหาแนวทางช่วยเหลืออยู่เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย