กรุงเทพฯ 23 พ.ย.- พ่อและน้องสาว ไฮโซแบงค์ เข้าพบ ตร.ทองหล่อ ขอความคืบหน้าสาเหตุพี่สาวเสียชีวิต ยันยังไม่มีการสงสัยใคร ต่อจากนี้เตรียมตั้งผู้จัดการมรดกเข้าเคลียร์ทรัพย์สิน
พ่อและน้องสาวไฮโซแบงค์ เจ้าของธุรกิจคลินิกเสริมความงาม ร้องขอให้ตำรวจ สน.ทองหล่อ เร่งรัดผลสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว หลังพบว่าผ่านมากว่า 80 วันแล้วยังไม่คืบหน้า และมีเหตุต้องสงสัยว่าไม่น่าเกิดจากการฆ่าตัวตาย
ช่วงเช้าที่ผ่านมานางสาวกิรัติมา ณ พัทลุง น้องสาว ไฮโซแบงค์ พร้อมด้วยนายไตรรัตน์ ณ พัทลุง และ นายเกรียงศักดิ์ อิ่มสมบูรณ์ ทนายความ เดินทางมาที่ สน.ทองหล่อ เพื่อติดตามความคืบหน้าการเสียชีวิตของนางกัลยรัตน์ อัครเดชเดชาชัย เจ้าของธุรกิจคลินิกเสริมความงาม ชื่อดังที่เสียชีวิตในบ้านพักซอยสุขุมวิท 23 เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสภาพศพขณะพบมีร่องรอยถูกของมีคมบาดที่ลำคอ และที่แขน
โดยนางสาวกิรัติมา ระบุก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนว่าที่ต้องเดินทางมาในวันนี้เพราะเหตุเกิดผ่านมานานกว่า 80 วัน แล้วแต่ทางพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ไม่มีการแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินคดีใดๆ กับทางครอบครัว ทั้งยังไม่เคยมีการเรียกสอบครอบครัวของผู้ตาย มีเพียงการเรียกสอบ สามี และแม่บ้าน ที่อยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุเท่านั้น ส่วนพ่อแม่และน้องสาว ไม่เคยถูกเรียกสอบแต่อย่างใด
เรื่องการฆ่าตัวตายทางครอบครัวไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าตัวตาย เพราะพี่สาวเป็นนักสู้ เป็นคนเข้มแข็ง มองโลกในแง่บวก ธุรกิจที่ทำอยู่ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาหนี้สิน และแม้ว่าพี่สาวจะมีอาการป่วยหนักที่ต้องรักษาตัวแต่ก็อยู่ในขั้นตอนการรักษาด้วยเคมีบำบัด (คีโม) ใกล้ครบขั้นตอนการรักษาแล้ว ซึ่งตัวพี่สาวเองก็ไม่ได้มีสัญญาณบ่งชี้ใดๆ ว่าจะมีการก่อเหตุฆ่าตัวตาย ประกอบกับทางครอบครัวมีประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับเวลาการตายที่ระบุในเอกสารใบมรณบัตร ที่มีการลงเวลาไว้ 20.45 น. ทั้งๆ ที่ทางครอบครัวทราบเรื่องจากทางบ้านพี่สาวว่ามีการพบศพพี่สาวเสียชีวิตในห้องน้ำประมาณ 19.30 น. จึงเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับช่วงเวลาที่คลาดเคลื่อน
และอีกประเด็นคือเรื่องของอาวุธที่ใช้ตอนแรกมี การระบุว่ามีการใช้อาวุธมีดทำครัวในการก่อเหตุแต่ภายหลังมีการระบุว่าใช้คัตเตอร์ ซึ่งในวันนี้ได้นำเอกสารหลักฐานใบรับรองการตายที่มีการระบุว่าพี่สาว เสียชีวิตจากการสำลักเลือดจากบาดแผลถูกของมีคมบริเวณลำคอ มาแสดงต่อพนักงานสอบสวน
ภายหลังการเข้าพบพนักงานสอบสวน นายเกรียงศักดิ์ อิ่มสมบูรณ์ ทนายความ ระบุว่า ขณะนี้ในส่วนของสำนวนยังต้องรอผลการพิสูจน์หลักฐานที่ทางตำรวจส่งให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลซึ่งตามขั้นตอนปกติจะมีการแจ้งผลภายใน 60 วันหลังจากส่งตรวจพิสูจน์แต่สามารถยื่นขอเลื่อนการส่งผลได้รอบละ 30 วัน จึงเป็นเหตุให้ทางตำรวจยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยภายหลังเข้าพบทางครอบครัวได้ทราบความคืบหน้าบ้างเล็กน้อยก็มีความสบายใจมากขึ้น และต่อจากนี้ทราบว่าจะมีการเรียกสอบครอบครัวเพิ่มเติมอีกครั้ง
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินและมรดกของผู้เสียชีวิต ต่อจากนี้ทางครอบครัวจะมีการยื่นขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก แม้ว่าผู้ตายจะจดทะเบียนสมรสกับทางสามีแต่ผู้ตายไม่มีบุตร ทำให้ทายาทลำดับขั้นมีพ่อและแม่ของผู้เสียชีวิต รวมถึงสามีจึงต้องมีการร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อแบ่งมรดก ที่ขนาดนี้ต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ สินส่วนตัวและสินสมรส ซึ่งคาดว่าจะมีการยื่นขอให้ศาลพิจารณา ตั้งนางสาวกิรัติมา เป็นผู้จัดการมรดก
ด้านนางสาวกิรัติมา ระบุภายหลังเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า สำหรับประเด็นที่ทางครอบครัวต้องรอถึง 80 วันถึงมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวการฆ่าตัวตายยืนยันว่า ทางครอบครัวมีการสงสัยตั้งแต่วันแรกแต่รอเวลาให้ทางตำรวจดำเนินการและรอให้ทางตำรวจเรียกเข้าให้ปากคำ แต่ทางตำรวจไม่มีการเรียกเข้าให้ปากคำจึงมีการส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบในวันนี้
สำหรับตัวสามีของพี่สาวตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่ค่อยได้มีการพูดคุยมากนัก และโดยส่วนตัวจะพบสามีของพี่สาวตามช่วงโอกาสสำคัญของทางครอบครัวเท่านั้น และทราบว่าในวันเกิดเหตุสามีของพี่สาวเป็นผู้แจ้งคนแรกว่าพบศพพี่สาวเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำ แต่ไม่ทราบว่าขณะเกิดเหตุภายในบ้านมีใครอยู่บ้าง
ภายหลังจากการเข้าพบพนักงานสอบสวน ทางครอบครัวยังยืนยันว่ายังไม่มีการสงสัยบุคคลใดเป็นพิเศษ โดยจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการสอบสวนและพิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งหมด
ด้านพันตำรวจเอกดวงโชติ สุวรรณจรัส ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวโดยไม่ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องสำนวนการสอบสวนผู้เสียชีวิต พนักงานสอบสวนได้สอบพยานที่เกี่ยวข้องและพยานในที่เกิดเหตุคือ แม่บ้าน, สามีผู้เสียชีวิต และได้สอบพยานแวดล้อมอื่นๆ แล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปสำนวนคดีนี้ได้ เนื่องจากผลการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานยังไม่แล้วเสร็จ หากครอบครัวผู้เสียชีวิตติดใจสาเหตุการตาย หรือมีพยานหลักฐานใหม่ ก็สามารถนำมาร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือนำมาให้กับพนักงานสอบสวนพิจารณาได้ ซึ่งตำรวจยินดีที่จะสอบสวนให้ละเอียดขึ้น หากพบว่ามีพยานหลักฐานใหม่ที่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไป ก็พร้อมจะสอบสวนจนกว่าจะหมดข้อสงสัย เพื่อสรุปสำนวนและสาเหตุการตายให้ครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป.-สำนักข่าวไทย