พีทีทีจีซี รอดูนโยบาย “โดนัลด์ทรัมป์” ก่อนเดินหน้าปิโตรฯ ในสหรัฐ

กรุงเทพฯ 15 พ.ย. – บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (พีทีทีจีซี) ยอมรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอาจชะลอรอดูนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ พร้อมเดินหน้าสนองนโยบาย “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” ของรัฐบาล ด้วยการลงทุน เบื้องต้น  5 หมื่นล้านบาทในระยอง พร้อมคุยญี่ปุ่นลงทุนอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พร้อมสร้างมูลค่าบริหารเงินสด ลงทุนตราสารหนี้ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้ปีหน้าคาดเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 22 จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและโรงงานเดินเครื่องผลิตเต็มที่


นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ซีอีโอ) พีทีทีจีซี  กล่าวว่า โครงการ US Petrochemical Complex ในหสรัฐ เดิมตั้งเป้าหมายจะสรุปโครงการเพื่อเดินหน้าลงทุนไตรมาส 1 /2560 อย่างไรก็ตาม โครงการนี้คงจะต้องชะลอไปก่อนเพื่อรอดูนโยบายที่ชัดเจนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งการลงทุนในประเทศและนโยบายต่างประเทศ ซึ่งโครงการนี้ปัจจุบันมีพันธมิตรหลายรายให้ความสนใจจะเข้าร่วมทุน ผลิตเอทิลีนขนาด 1 ล้านตัน/ปี ใช้วัตถุดิบก๊าซอีเทนจากก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) โดยโรงงานจะตั้งอยู่ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐ เม็ดเงินลงทุนรวม 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“หากโครงการสหรัฐล่าช้าก็ไม่กระทบอะไรนัก โดยทางบริษัทเน้นการลงทุนในไทยตอบสนองโครงการระเบียงเศรษฐกิจ ด้วยโครงการ Map Ta Phut Retrofit โครงการ PO/Polyols หรือโพลียูรีเทน ครบวงจรที่จะเริ่มลงทุนปีหน้าเงินลงทุน  50,000 ล้านบาท และยังศึกษาสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องชักชวนญี่ปุ่นลงทุน 7 โครงการ  รวมถึง Project MAX ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มในช่วง 3 ปีนี้ถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายสุพัฒนพงษ์  กล่าว


ทั้งนี้ โครงการ Map Ta Phut Retrofit ได้แก่ โครงการ Olefins Reconfiguration (ORP) เป็นโครงการที่นำแนฟทาจากโรงกลั่นของบริษัทมาเป็นวัตถุดิบ (Feedstock) เพื่อผลิตเอทิลีน 500,000 ตัน/ปี โพรพิลีน 261,000 ตัน/ปี จะเริ่มผลิตภายในปี 2563 เพื่อต่อยอดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมขั้นต่อเนื่อง (Downstream) ในสายการผลิตต่าง ๆ ถือเป็นการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ เป็นการสนับสนุนนโยบาย New S-Curve และ EEC หรือระเบียงเศรษฐกิจของภาครัฐ  โดยพีทีทีจีซีลงนามข้อสัญญาเบื้องต้น (Head of Agreement : HOA) กับ บริษัท Kuraray Co., Ltd. และ บริษัท Sumitomo Corporation  เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง (Super Engineering Plastics) ประเภท High-Heat Resistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิต 13,000 ตัน/ปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิต 16,000 ตัน/ปี คาดว่าจะได้ข้อสรุปเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทุนตามข้อตกลงจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายในปี 2560 และเริ่มผลิตได้ภายในปี 2563

นอกจากนี้ พีทีทีจีซี ได้ขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) และ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) โดยตั้งเป้าหมายขายเม็ดพลาสติกในซีแอลเอ็มวี  2 ล้านตันภายใน 5 ปีนี้มูลค่า 100,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนร้อยละ 25 จากปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 6 หรือ 13,000 ตัน/ปี ซึ่งนับว่าเติบโตอย่างมาก และจะเป็นตลาดรองรับกรณีได้รับผลกระทบจากตลาดในจีน ตั้งเป้าหมายลดยอดขายจากร้อยละ 35-39 เป็นร้อยละ 30 ของตลาดส่งออก  โดยล่าสุดบริษัทได้ลงนาม เอ็มโอยูร่วมกับบริษัท เอส.พี.เพ็ทแพคผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยลงทุนสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์พลาสติกในประเทศเมียนมาร์

สำหรับปี 2560  บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีนี้ประมาณร้อยละ 20-25 หรือ 400,000 ล้านบาทจากปีนี้ที่มีรายได้ประมาณ  320,000 ล้านบาท เนื่องจากปีหน้าคาดราคาน้ำมันดิบดูไบจะขยับขึ้นจากปีนี้ที่เฉลี่ย 40-50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็น 45-55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และปีหน้ากำลังผลิตโดยรวมจะดีขึ้นกว่าปีนี้ เพราะปีนี้มีการปิดซ่อมใหญ่ทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี  ขณะเดียวกันบริษัทมีกระแสเงินสด 42,000 ล้านบาท โดยบอร์ดเห็นชอบให้นำเงิน 10,000  ล้านบาท ไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ 10,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ลงทุนแล้วโดยว่าจ้าง บลจ.ผู้เชี่ยวชาญมาลงทุน 6,000 ล้านบาท และบริษัทบริหารเองกว่า 3,000 ล้านบาท ผลตอบแทนขณะนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ซึ่งกระแสเงินสดนี้เป็นส่วนที่จะนำไปลงทุนโครงการใหม่ ๆ ในอนาคต


สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2559 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 89,714 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 12,210 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,226 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.40 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 416 จากไตรมาส 3/2558  โดยผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 236,022 ล้านบาท EBITDA 31,844 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 15,858 ล้านบาท. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พ่อเลี้ยงล่วงละเมิด

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA ส่วนเด็กอาการดีขึ้น

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA เชื่อ แม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่เชื่อผัวเพราะลูกเคยโกหก เผย ตอนแม่รู้ความจริงว่าใครทำลูกถึงกับร้องไห้โฮโผกอดลูก ส่วนเด็ก 10 ขวบอาการดีขึ้น แต่ต้องรักษาตัวอีกหลายสัปดาห์

งานแต่งธนกร

วิวาห์ชื่นมื่น “ธนกร-แคทลีน” คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น

งานวิวาห์ “ธนกร-แคทลีน” ชื่นมื่น คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น ด้าน “ทักษิณ” ไม่ได้มาร่วม แต่ส่งของขวัญแสดงความยินดี

ทรัมป์สั่งปลด

“ทรัมป์” สั่งปลดประธานคณะเสนาธิการร่วมตามแผนปรับปรุงกลาโหม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกคำสั่งในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นปลด พลอากาศเอก ซี. คิว. บราวน์ จูเนียร์ (Charles Quinton Brown Jr.) เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐออกจากตำแหน่ง

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส กลับมาในรอบ 19 ปี

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส บอกคนนราธิวาสน่ารักเสมอ ต้อนรับอบอุ่นกับการกลับมาในรอบ 19 ปี ก่อนเดินทางต่อตามกำหนดเดิม แม้มีระเบิดที่สนามบิน

บึ้มรถกระบะ สนามบินนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่

บึ้มรถกระบะจอดใกล้กับหอบังคับการบิน ท่าอากาศยานนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่สนามบินบ้านทอน ในอีก 50 นาที ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

น้ำป่าหลากท่วม อ.ไทรโยค กลางดึก

ระทึกกลางดึก น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือนประชาชน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถนนหลายเส้นถูกน้ำป่าพัดขาด จนท.เร่งอพยพประชาชนด้วยความยากลำบาก

Pope at Vatican on Feb 5, 2025 says have a strong cold

โป๊ปฟรันซิสพระอาการวิกฤต

วาติกัน 23 ก.พ.- พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรุดลงอยู่ในขั้นวิกฤตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ฉบับล่าสุดเมื่อวันเสาร์ว่า พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาทรุดลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และระบุเป็นครั้งแรกว่า พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤตจากโรคระบบทางเดินหายใจคล้ายกับโรคหอบหืดในช่วงเช้าวันเสาร์ ทำให้ขณะนี้พระองค์จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเสริมและการถ่ายเลือด โดยรวมแล้วถือว่า พระอาการอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่พ้นขีดอันตราย อย่างไรก็ดี พระองค์ยังทรงตื่นตัว และประทับนั่งบนเก้าอี้ตลอดวัน แม้ว่าทรงประชวรมากกว่าวันก่อนหน้านี้ก็ตาม พระสันตะปาปาฟรันซิส พระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเข้ารับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลี ในกรุงโรม ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังทรงมีพระอาการหายใจติดขัดต่อเนื่องหลายวัน และตรวจพบว่าปอดอักเสบทั้งสองข้าง ทรงร้องขอให้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์อย่างตรงไปตรงมา สำนักวาติกันจึงออกแถลงการณ์ชี้แจงความคืบหน้าอาการประชวรของพระองค์ต่อเนื่องทุกวัน แต่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่มีเนื้อหาระบุชัดเจนว่า อาการประชวรของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤต ขณะที่แพทย์คาดการณ์ว่า พระองค์จะต้องประทับอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อยตลอดสัปดาห์หน้า ภารกิจต่อสาธารณชนทั้งหมดของพระสันตะปาปาจึงถูกยกเลิกตลอดสัปดาห์ ทั้งพิธีมิสซาประจำวันอาทิตย์ รวมถึงการสวดภาวนาแองเจลัส (Angelus) ตามปกติทุกสัปดาห์ด้วย.-815(814).-สำนักข่าวไทย