ปัดล็อบบี้ ส.ส.ต้อนรับ “พล.อ.ประวิตร” มากกว่านายกฯ

รัฐสภา 23 ก.ย.- ประชุม พปชร. “ร.อ.ธรรมนัส” ควง “พล.อ.วิชญ์” นั่งหัวโต๊ะ ปัดล็อบบี้ ส.ส. ต้อนรับ “พล.อ.ประวิตร” มากกว่านายกฯ ด้าน “พล.อ.วิชญ์” ระบุเร่งสร้างความปรองดองภายในพรรค ย้ำไม่มีใครคิดย้ายออกแน่นอน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่อาคารรัฐสภา มี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง แต่ไม่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค รวมถึงแกนนำกลุ่มต่างๆ ภายในพรรคเข้าร่วมตามกำหนดการ โดยมีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะเลขาธิการพรรค และ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์พรรค เป็นแกนนำในการประชุม

โดยก่อนการประชุม พล.อ.วิชญ์ ได้เดินทางมาพร้อมกับ ร.อ.ธรรมนัส และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการทำหน้าที่ภายในพรรค ยอมรับว่า ภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ คือ การสร้างความปรองดองทั้งภายในพรรคและภายนอกพรรค ให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยกัน ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งสีกันอีก ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคเองก็ทำให้ภายในพรรคปรองดองกันได้ ซึ่งตอนนี้ก็ปรองดองอยู่แล้ว จะไม่มีใครแยกออกไปตั้งพรรคใหม่ หรือปรับโครงสร้างพรรคตามที่เป็นข่าวแน่นอน เพราะเป้าหมายตอนนี้คือต้องทำให้บ้านเมืองสงบสุขที่สุด


ทั้งนี้ ยอมรับว่า การเข้ามารับตำแหน่งภายในพรรคครั้งนี้ป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะเรื่องการเมืองถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับตนเอง แต่ก็ต้องเรียนรู้ แม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องใครจะมีเล่ห์เหลี่ยมนั้น ยืนยันว่า ตนเองไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแน่นอน มีอะไรก็พูดกันตรงๆ

ด้าน ร.อ.ธรรมนัส กล่าวถึงการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนละจังหวัด เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ยืนยันว่า เป็นการลงพื้นที่ไปดูปัญหา ไม่ใช่การประลองกำลังตามที่เป็นข่าว ส่วนที่มีข่าวว่าตนเองเป็นคนล็อบบี้ให้ ส.ส.ไปต้อนรับ พล.อ.ประวิตร มากกว่านายกรัฐมนตรีนั้น ยืนยันว่าไม่มี และตนก็เพิ่งมาทราบจากในข่าวเช่นกัน

“ส่วนตัวขออย่าไปมองแบบนั้น เพราะนายกฯ และหัวหน้าพรรค ลงไปเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และก็เป็นหน้าที่ ส.ส.แต่ละพื้นที่ที่จะไปต้อนรับนายกฯ และหัวหน้าพรรค” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ดูเงียบกว่าปกติ ไม่เหมือนครั้งที่ พล.อ.ประวิตร มาเป็นประธานการประชุมเอง ประกอบกับวันนี้ ส.ส.บางส่วนก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุม อาทิ ส.ส.ใต้ กลุ่มสามมิตร และรัฐมนตรี อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง