รัฐสภา 16 ก.ย.-สภาฯ ผ่านร่างกฎหมายทรมาน วาระแรก ทั้ง 4 ฉบับ พร้อมตั้ง “หมอทศพร-บก.ลายจุด” เป็น กมธ.วิสามัญฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. … วาระแรก ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 368 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1 โดยรับหลักการทั้ง 4 ฉบับที่มีการเสนอ คือ 1.ร่างของคณะรัฐมนตรี 2.ร่างของนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ 3.ร่างของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ และ 4.ร่างของนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 25 คน อาทิ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ซึ่งพรรคเพื่อไทยเสนอ นายเอกชัย ไชยนุวัติ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เสนอนายสมชาย หอมลออ ขณะที่พรรคเสรีรวมไทยเป็นผู้เสนอ นางอังคณา นีละไพจิตร ทั้งนี้ กำหนดเวลาแปรญัตติ 7 วัน โดยยึดร่างของรัฐบาลเป็นร่างหลักในการพิจารณา
สำหรับใจความสำคัญ ของร่างกฎหมายฉบับนี้ อยู่ในมาตรา 5 ระบุไว้ชัดว่า ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทำให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้มีการรับสารภาพ หรือให้ได้ข้อมูล หรือเพื่อข่มขู่ รวมถึงการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ถือว่าเป็นการกระทำความผิดฐานกระทำทรมาน มีโทษสูงสุดจำคุก 25 ปี ปรับ 5 แสนบาท ถ้าถึงขั้นเสียชีวิต มีโทษสูงสุดจำคุก 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1 ล้านบาท เช่นเดียวกับกรณีบังคับสูญหายในมาตรา 6 ระบุว่า ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ มีการจับ,ขัง, ลักพาตัว โดยปกปิดชะตากรรม ปกปิดสถานที่ ถือว่าผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำให้บุคคลสูญหาย โทษก็จะหนักเท่ากัน คือ จำคุก 25 ปี ปรับ 5 แสนบาท ถ้าถึงขั้นเสียชีวิต โทษสูงสุด จำคุก 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 1 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเอาผิดครอบคลุมไปถึงผู้สมคบคิดอยู่ในเหตุการณ์ ผู้สนับสนุน ต้องรับโทษเท่ากับคนก่อเหตุด้วยและหากผู้บังคับบัญชารู้เห็นและไม่ระงับการกระทำ ต้องรับโทษครึ่งหนึ่งของผู้ทำผิด นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมเป็นกรรมการ ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และที่สำคัญ คือ การกำหนดให้คดีทรมานบังคับสูญหายนี้ เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ หมายความว่า ให้เป็นหน้าที่ ของ DSI ในการทำคดี
อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายฉบับนี้ จะทำให้ประเทศไทย มีกระบวนการยุติธรรมที่สอดคล้องกับหลักการสากลมากขึ้น เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานไว้ตั้งแต่ปี 2555 .- สำนักข่าวไทย