กทม. 5 ก.ค.-เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานจนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นในครั้งนี้ ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่ในส่วนของโรงงาน ทีมข่าวค่ำ สำนักข่าวไทย ตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าโรงงานดังกล่าวเป็นของบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2532 หรือประมาณ 32 ปีมาแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียน 70 ล้านบาท วัตถุประสงค์ขณะจดทะเบียน คือ ผลิตเม็ดโฟม ขณะที่ประเภทธุรกิจที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด คือการผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้น และมีคณะกรรมการบริษัท 4 คน เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด
ส่วนเม็ดโฟมที่ผลิตต้องใช้ของเหลวใสและข้นเหนียว ถ้าสารมีอุณหภูมิ 31 องศาเซลเซียส หรือ 88 องศาฟาเรนไฮต์ ขึ้นไป จะสามารถติดไฟและกลายเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่าย หากถูกเผาไหม้จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จำนวนมาก อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะ
1.เป็นสารระเหย แม้อยู่ในน้ำหรือดิน การปนเปื้อนในดินอาจนำไปสู่น้ำใต้ดินเพราะสารนี้ไม่ค่อยจับตัวกับดิ
- ถ้าหายใจเข้าไป จะเกิดการระคายระบบทางเดินหายใจ และคอ ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และมึนเมา
- ถ้าได้รับสารปริมาณสูง จะชักและเสียชีวิตได้
4.การหายใจเข้าไปในระยะนานๆ แม้ว่าความเข้มข้นต่ำจะทำให้อาจมีอาการทางสายตา การได้ยินเสื่อมลง และการตอบสนองช้าลง - ส่วนผลในระยะยาวนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ถ้าเข้าตา จะเคืองตา
6.ถ้าถูกผิวหนัง จะรู้สึกระคายผิว ถ้าสารซึมเข้าผิวหนังจะมีอาการเหมือนหายใจเข้าไป ทำให้ผิวแดง แห้ง แตก
โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก มีสารตั้งต้นหลายตัว ซึ่งสารประกอบหลักๆ คือ สไตรีน เป็นสารละลายอินทรีย์ตระกูลปิโตรเคมี มีไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ และใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์ โฟม และพลาสติก โดยสารที่เกิดจากการไหม้ของสไตรีน คือ Polycyclic Aromatic Hydrocarbons (PAHs) เขม่าคาร์บอน Carbon Black และ Carbon Monoxide ผลิตมาจากวัสดุพอลิเมอร์ชนิดพอลิสไตรีน (polystyrene) เมื่อระเบิดเผาไหม้อาจทำให้เกิดสารอันตรายปะปนออกมา ได้แก่ สารสไตรีน สารเบนซีน
สารสไตรีน ที่เกิดขึ้นจะมีผลเสียต่อร่างกาย คือ ทำลายระบบฮอร์โมนในร่างกาย มีผลต่อระบบประสาท เม็ดเลือดแดง ตับและไต เมื่อถูกผิวหนังหรือเข้าตาหรือสูดดมเข้าไป ทำให้เยื่อเมือกเกิดการระคายเคือง มีอาการไอและหายใจลำบาก ปวดศีรษะ ง่วงซึม ข้ออันตรายที่ต้องเตือนให้ประชาชนระวังคือสารเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็ง เป็นอันตรายหากสูดดมเข้าไป และเกิดการกดสมองทำให้เกิดภาวะชักเสียชีวิตได้ และหากได้รับเข้าไปเพิ่มการแท้งในสตรีมีครรถ์
สำหรับสารเบนซีน จัดเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B ตามประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย พ.ศ.2555 ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้สูดดมหรือกินเข้าไป ในระยะแรกทำให้วิงเวียน คลื่นไส้ หรือมีอาการปวดท้อง เนื่องจากกระเพาะถูกกัดกร่อน เวียนศีรษะ อาเจียน ง่วงนอน ชัก ปวดศีรษะ งุนงง ระคายเคืองต่อจมูกและคอ จิตใจสับสน เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง เกิดเป็นผื่นแดง ผิวหนังอักเสบ หัวใจเต้นแรง และอาจเสียชีวิตได้ การหายใจสูดดมเบนซีนในขนาดสูงมาก ๆ จะทำให้เกิดอันตรายได้แก่ ความเป็นพิษต่อระบบเลือดจะเกิดขึ้น เริ่มต้นจะมีอาการภาวะเลือดจาง เม็ดเลือดขาวน้อย และภาวะเกร็ดเลือดน้อย อาการต่าง ๆ ดังกล่าวจะพบพร้อมกัน ภาวะกดการทำงานของไขกระดูก การได้รับอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดภาวะพร่องเม็ดเลือดทุกชนิด
จะเห็นได้ว่าสารทั้งสองชนิด เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นมิตรต่อร่างกายมนุษย์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งในอนาคต เพราะแบบนี้จึงใช้งานในอุตสาหกรรมระบบปิด เมื่อมีการระเบิด สารเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็น ไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) คือ กลายเป็นฝุ่นละออง PM 2.5 ที่มีสารเคมีเหล่านี้ปะปนอยู่ นอกจากนี้ มันอาจจะลอยไปสู่ชั้นบรรยากาศ กลายเป็นไอน้ำ เมื่อมีแรงลมพัดพาไปที่ไหน มันก็จะกระจายไปที่นั่น และเป็นอันตรายในรัศมี 5 ก.ม.
ทั้งนี้ กรณีเพลิงไหม้รุนแรง ให้ใช้ผงเคมีแห้ง คาร์บอนไดออกไซด์ หรือโฟมดับเพลิง และให้ฉีดน้ำเป็นฝอยเพื่อหล่อเย็นให้กับถังเก็บ ห้ามใช้น้ำฉีดไปยังบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้โดยตรง เพราะจะทำให้เกิดการกระจายตัวของเพลิงมากขึ้น หากกระทำได้ให้เคลื่อนย้ายภาชนะบรรจุที่ยังไม่เสียหายออกจากบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ แจ้งเหตุการณ์เกิดเพลิงไหม้ไปยังโรงงานข้างเคียง เพื่อป้องกันเหตุหรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ และในกรณีที่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ให้ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เช่น ปภ.เพื่อขอความช่วยเหลือในการควบคุมสถานการณ์
ส่วนจุดอพยพล่าสุด ปภ.แจ้งว่า เพิ่มขึ้นมาเป็น 7 จุดแล้ว ประกอบด้วย
1) โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์
2) อบต.บางพลีใหญ่ (หลังเก่า) และวัดบางพลีใหญ่กลาง
3) โรงเรียนบางกระบือ
4) ศาลพ่อหลวง
5) วัดบางโฉลงใน
6) วัดบางโฉลงนอก
7) วัดบางพลีใหญ่
ขณะที่ผู้อพยพ มีด้วยกัน 1,120 คน โดย อบต.บางพลีใหญ่ได้ให้การดูแลประชาชนผู้อพยพในเบื้องต้น ด้านสาธารณสุข จังหวัดสมุทรปราการได้เข้าดูแลตามมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด. – สำนักข่าวไทย