มุกดาหาร 2 มิ.ย.- ย้อนไปชมปฏิบัติการ “ฟ้าสางกลางกกกอก” ที่ตำรวจบุกไปหวังจับตัว “ลุงพล” ผู้ต้องหาคดีที่ “น้องชมพู่” เสียชีวิต แต่ปรากฏว่าไม่พบตัว
เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. ตำรวจเข้าปิดล้อมบ้านเลขที่ 79 หมู่ 2 ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นบ้านพักของนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหารในคดีการเสียชีวิต “น้องชมพู่” หลานสาวอายุ 3 ขวบ เหตุเกิดเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านไม่ไกล
โดยตำรวจได้พยายามเรียก “ลุงพล” ให้ออกมาจากบ้าน โดยมีผู้ใหญ่บ้านกกกอกดำเนินการ พร้อมทั้งโทรศัพท์ติดต่อ แต่ไม่มีเสียงตอบรับใด กระทั่งตำรวจส่วนหนึ่งเดินไปทางหลังบ้าน พร้อมกับเจรจากันประมาณ 10 นาที ก่อนจะเดินมาบริเวณด้านหน้าของบ้านและได้มีคนเปิดประตูบ้านให้ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ลุงพล” ไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ รวมทั้งนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ภรรยา มีเพียงนายชาญ หลาบโพธิ์ หรือ “ตาชาญ” อายุ 67 ปี พ่อของ “ป้าแต๋น” อยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมบอกว่าจะไปรับหลาน จากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านพัก ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงพบว่า “ลุงพล” หลบหนีไปจริง
อย่างไรก็ตาม ระหว่างปฏิบัติตำรวจได้คุมตัวนายธนากร ทนันไธสง หรือ “อ๋อ” ยูทูบเบอร์คนสนิทของ “ลุงพล” ในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นคดีค้างเก่ากรณีที่ไปขวางทางตำรวจในวันที่ “ลุงพล” และ “ป้าแต๋น” เข้าเครื่องจับเท็จเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ขณะที่แม่ของ “น้องชมพู่” ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่าหลังทราบว่า “ลุงพล” ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี มองว่าคนนี้น่าจะมีความเมตตาสงสาร “น้องชมพู่” เพราะเป็นญาติ ส่วนสาเหตุที่ในอดีตได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า สงสัย “ลุงพล” เนื่องจากได้พยายามทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ “ลุงพล” ไม่ยอมฟัง และการให้ข่าวของ “ลุงพล” มีลักษณะพูดกลับไปกลับมา อย่างไรก็ตาม อยากบอกกับ “น้องชมพู่” ว่าลูกได้รับความยุติธรรมแล้ว พ่อกับแม่ทำให้สังคมรู้ว่าเราไม่ได้ทำร้ายลูก เราไม่ฆ่าลูก
สำหรับ “ลุงพล” ถูกศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ 3 ข้อหา ประกอบด้วยพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปีเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การออกหมายจับครั้งนี้ เป็นหลักฐานบริเวณจุดพบศพ “น้องชมพู่” ที่มีทั้งกางเกง รองเท้า และเส้นขน 3 เส้น ซึ่งตรวจดีเอ็นเอด้วยวิธีพิเศษ เพราะไม่พบรากขน ทำให้การตรวจครั้งแรกพบเพียงเชื่อมโยงกับเพศหญิง ซึ่งระบุได้ว่าเป็นญาติทางสายเลือดฝั่งแม่เด็ก ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งเส้นขนของ “น้องชมพู่” หรือ แม่, พี่สาว, ป้า, น้า, ยาย แต่การตรวจด้วยวิธีพิเศษพบความเข้ากันได้มากที่สุดกับ “ป้าแต๋น” ภรรยาของ “ลุงพล” ทำให้เส้นขนกลายเป็นหลักฐานสำคัญควบคู่ไปกับหลักฐานอีกชิ้น ซึ่งเป็นเส้นผมที่ตกอยู่ในรถของ “ลุงพล” โดยเส้นผมดังกล่าวเป็นเส้นผมกลุ่มเดียวกับเส้นผม 36 เส้นของ “น้องชมพู่” ที่ถูกตัดด้วยมีด ความยาวเส้นละประมาณ 1 เซนติเมตร และถูกพบบริเวณจุดพบศพของน้องชมพู่
นอกจากนี้ ยังมีเส้นผมของคนใกล้ชิดที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ นอกจากนี้ การเข้าเครื่องจับเท็จของ “ลุงพล” ก็มีพิรุธ ประกอบกับคำให้การของพยานแวดล้อม ทุกอย่างขมวดรวมบ่งชี้ไปได้ว่าคดีนี้ “ลุงพล” เท่านั้นที่จะพาตัวน้องชมพู่ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ.-สำนักข่าวไทย