ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 27 พ.ค.- กลุ่มเครือข่ายประชาชนเรียกร้องเร่งฉีดวัคซีนกลุ่มตลาด แคมป์คนงาน ขอเยียวยาหลังสั่งปิดตลาด
กลุ่มเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพประชาชนพร้อมด้วยแกนนำชุมชน กทม. ใกล้แคมป์คนงานก่อสร้างและมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จำนวน 12 คน นำโดย นายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพประชาชน ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) หรือ ศบค. เพื่อขอให้รัฐบาลพิจารณาตรวจเชิงรุกและฉีดวัคซีนให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและแคมป์คนงานก่อสร้าง 3 ข้อ ดังนี้ 1. ขอให้ ศบค.เร่งตรวจโควิด-19 ในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและลูกจ้างในตลาด รวมถึงจัดหาวัคซีนให้กับคนกลุ่มนี้เช่นเดียวกับบุคลากรด่านหน้าที่เป็นกลุ่มเสี่ยง พิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาพ่อค้าแม่ค้าตลาดที่ถูกคำสั่งปิดดำเนินการ และควรกำหนดให้มีระยะเวลาจัดการตามมาตรฐานสาธารณสุข ฟื้นฟูตลาดในเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อให้ตลาดกลับมาเปิดทำการได้โดยเร็ว โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดการเคลื่อนย้ายผู้ใช้แรงงานในตลาดที่ถูกสั่งปิด
“2.ขอให้กรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด เร่งตรวจสอบตลาดเพื่อให้เคร่งครัดต่อมาตรการจำกัดทางเข้าออกสำหรับคัดกรองวัดอุณหภูมิบุคคลที่เข้าตลาดอย่างเข้มข้น ต้องทำให้ได้ทุกตลาด ไม่ไช่คัดกรองเฉพาะผู้ซื้อ รวมถึงให้สุ่มตรวจตลาดอย่างสม่ำเสมอ และขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแสตลาดที่ขาดความรับผิดชอบ และ 3. ขอให้กรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดเร่งสำรวจตลาดที่อยู่นอกระบบ และไม่ขึ้นทะเบียน ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในทุกเขตทุกพื้นที่ เพื่อให้เข้าสู่ระบบ กำหนดมาตรการควบคุมโควิด -19 เช่นเดียวกับตลาดที่ขึ้นทะเบียนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีคนงานก่อสร้างและแคมป์คนงานใกล้ชุมชน ขอให้คุ้มครองสวัสดิภาพผู้ใช้แรงงานและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ได้เข้าถึงการช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1. กรณีคนงานก่อสร้างหรือแคมป์คนงานที่อยู่ใกล้ชุมชน เครือข่ายเรียกร้องให้บริษัทผู้รับเหมา ออกมาแสดงความรับผิดชอบให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ขอให้ชี้แจงสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนถึงมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั้งในแคมป์และชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดความหวาดระแวง สร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งนำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลของชุมชนได้ หากมีกระบวนการที่ถูกต้อง อาทิ การประสานแกนนำชุมชนร่วมกันสำรวจคนงานที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่ เพื่อออกแบบการช่วยเหลือ เฝ้าระวัง เป็นต้น
“2. ในหลายแคมป์คนงานที่มีการกักตัว กลับพบว่ามีคนงานบางส่วนออกมาใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก มาจับจ่ายซื้อของ รวมถึงแอบมาตั้งวงรวมกลุ่มกันกินดื่ม ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งกับชุมชน จึงขอเรียกร้องให้บริษัทผู้รับเหมา รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับความเข้มข้นในการควบคุม และควรให้ความช่วยเหลือคนงานให้เต็มกำลัง ไม่ใช่โยนทุกอย่างไปที่ผู้รับเหมาช่วง 3. ในกลุ่มแรงงานที่ผิดกฎหมายต้องเร่งสร้างความไว้วางใจและชัดเจนในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 มากกว่าการมุ่งจับกุม เพื่อป้องกันการหลบหนีซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ควบคุมได้ยาก” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เครือข่ายฯ ได้ร่วมกันทำงานเพื่อหนุนเสริมภาครัฐในประชาชนกลุ่มเปราะบางคนด้อยโอกาสรวมถึงการมุ่งรักษาตลาดไว้ให้เป็นแหล่งอาหารการกินที่สำคัญของประชาชนจากการทำงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงโควิด 19 ระลอกสาม ทางเครือข่ายฯ พบสถานการณ์ที่น่ากังวลอยู่สองจุดสำคัญคือ การแพร่ระบาดในพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้างและในตลาดส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีแคมป์คนงานมากกว่า 409 แห่ง เป็นคนงานที่ถูกกฎหมายกว่า 62,169 คน (คนไทย 26,134 คนและต่างชาติ 36,035 คน) และยังไม่นับรวมแรงงานที่ผิดกฎหมายอีกจำนวนมากได้กลายมาเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างน่าเป็นห่วงยิ่งและเป็นคลัสเตอร์เฝ้าระวังสูงสุดถึง 28 แห่งซึ่งสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชน.-สำนักข่าวไทย
