กทม.30 เม.ย.-โรงเรียนสังกัด กทม.เตรียมจัดการเรียนการสอนผสมผสาน 5On หลังเลื่อนเปิดเทอมจากวันที่ 17 พ.ค.ไปเป็นวันที่ 1 มิ.ย.64เคร่งครัดมาตรการป้องกันโควิด-19 ต่อเนื่อง
นายเกรียงยศ สุดลาภา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (รองผู้ว่าฯกทม.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัด กทม.รองรับการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1/2564 จากวันที่ 17 พ.ค. เป็นวันที่ 1มิ.ย.เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ว่า การเลื่อนเปิดภาคเรียนไปเป็น 1 มิ.ย.ทำให้วันเปิดภาคเรียนล่าช้าไปจากเดิมประมาณ 2สัปดาห์ คิดเป็นวันเรียนประมาณ 10 วัน ซึ่งโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนชดเชยให้ครบตามหลักสูตรได้ภายหลังจากเปิดการเรียนการสอนแล้ว
โดยจะสอนชดเชยที่โรงเรียนหรือผ่านช่องทางต่างๆตามความพร้อมของผู้เรียนในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง หรือผสมผสานกันในรูปแบบ 5 On ได้แก่ 1.On Line ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ 2.On Air ทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น DLTV 3.On Hand จัดส่งหนังสือ แบบเรียน แบบฝึกหัด หรือใบงานที่โรงเรียนจัดทำขึ้นไปยังนักเรียนผ่านผู้ปกครอง 4.On Site จัดการเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเรียนในสถานที่ที่ปลอดภัย และ 5.On School Line โดยใช้ช่องทาง Group Line ของแต่ละห้องเรียนเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารระหว่างครูประจำชั้นกับผู้ปกครองและนักเรียน รวมถึงใช้เป็นช่องทางการมอบหมายงาน หรือส่งการบ้าน
ทั้งนี้ โรงเรียนสามารถพิจารณาให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน สภาพ แวดล้อมที่เอื้ออำนวยและสอดคล้องสถานการณ์
ขณะเดียวกันเพิ่มความเข้มข้นมาตรการป้องกันโควิดในโรงเรียน โดยให้จัดการเรียนการสอนในที่สถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก , งดกิจกรรมที่มีรวมกลุ่มของนักเรียน หรือหากมีการรวมกลุ่มต้องรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลและใช้เวลาน้อยที่สุด จำกัดจำนวนผู้ปกครองและบุคคลที่จะเข้าภายในบริเวณโรงเรียนเพื่อลดความแออัด
กรณีผู้ปกครองมารับบุตรหลานที่โรงเรียน ต้องจัดพื้นที่พักคอยบริเวณหน้าโรงเรียน รวมทั้งจัดให้มีการตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย โดยเฉพาะนักเรียนให้ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย 3 ครั้ง/1วัน คือ ก่อนเข้าโรงเรียน ก่อนรับประทานอาหารกลางวันและก่อนเดินทางกลับบ้าน
กรณีโรงเรียนพบนักเรียนที่สงสัยติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (Patient Under Investigation : PUI) ให้แยกเด็กออกมาจากผู้อื่น จากนั้นแจ้งผู้ปกครองและสายด่วนสุขภาพ1646 ศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ หรือแจ้งศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.ในพื้นที่ เพื่อประเมินสถานการณ์ตามเกณฑ์สอบสวนโรคต่อไป .-สำนักข่าวไทย