“ณัฏฐพล “มั่นใจ ตั้งคนสนิทเป็นเลขาฯ สกสค. ตามระเบียบ

รัฐสภา 18 ก.พ.-“ณัฏฐพล “มั่นใจ ตั้งคนสนิทเป็นเลขาฯ สกสค. เป็นไปตามระเบียบ – กฎหมาย โยนถาม “ดิสกุล” หากสงสัย ลั่นตั้งข้าราชการการเมือง ไม่ใช่มีอำนาจเหนือ ข้าราชการประจำ แต่เป็นการบูรณาการการศึกษา ยันไม่สามารถหาผลประโยชน์ได้ เหตุขาดทุนต่อเนื่องสะสม 7 พันล้าน


นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงถึงกรณีข้อกล่าวหา แต่งตั้งพวกพ้องเป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ สกสค. โดยระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการแตกต่างจากกระทรวงอื่นๆ มีผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าปลัดกระทรวง หรือ C11 โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2546 สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการกระจายอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ โดยแบ่งเป็น การศึกษาขั้นพื้นฐาน หน่วยงานอาชีวะ สภาการศึกษา และการอุดมศึกษา ซึ่งจากการแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานและมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งหน่วยงานไม่มีความเป็นเอกภาพในภาคกระทรวงศึกษาธิการ ไม่สามารถเชื่อมโยงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตนขอยืนยันว่าใน4 หน่วนงาน และสำนักปลัด มีความเป็นเอกภาพในส่วนของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งต้องเลิกรับข้อมูลจากผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์แต่รับผลประโยชน์ตรงนี้ไม่ได้แล้ว

ทั้งนี้นายณัฏฐพล อธิบายถึงองค์การค้าในสังกัด สกสค. ว่ามีการโอนทรัพย์สินมาอยู่ในสกสค. โดยหากเทียบราคาตลาดในทรัพย์สินก็มีหลายพันล้าน แต่ขณะเดียวกันองค์การค้าก็มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และวันนี้มีการขาดทุนทั้งสิ้น 7 พันล้าน ซึ่งพ.ร.บ.การศึกษา 2542 ทำให้มีการเปิดเสรีในการพิมพ์หนังสือ ทำให้สกสค.มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีความเกี่ยวโยงกับผู้ที่อภิปรายได้กล่าวถึง และกล่าวว่าจะปล่อยให้องค์การค้านั้นขาดทุนอย่างต่อเนื่องไม่ได้ จึงต้องมีการปรับทิศทางการดำเนินการขององค์กร จะเห็นชัดเจนว่าบุคลากรที่อยู่ในองค์การค้ามีมากเกินปริมาณของงาน มีการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายเหลือเพียง 97 ล้านบาท โดยองค์การค้าได้ชำระเงินคืนให้ สกสค.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 493 ล้านบาทเศษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการจัดการองค์กรดีขึ้น โดยหากปล่อยเอาไว้จะขาดทุนกว่าหมื่นล้านในอีก 4 ปีข้างหน้า พร้อมกับอธิบายว่าการแก้ไขปัญหาองค์การค้าสกสค. เป็นผลงานของ นายธนพร สมศรี จึงมีความเหมะสมในการขับเคลื่อนองค์การค้าและสกสค.


ส่วนที่บอกว่ามีการประกาศสรรหาเลขาฯคุรุสภาฯและการสรรหา สกสค. ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่นั้นตนได้พยายามที่จะกฤษฎีกา และกฤษฎีกามีหนังสือตอบกลับมา ไม่ต้องประกาศในราชการเนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามประกาศของคสช. ไม่ใช่ตามพ.ร.บ.ครูและบุคลากรทางการศึกษา เช่นเดียวกับ การสรรหาเลขาฯสกสค.ไม่ต่างกับเลขาฯคุรุสภา ส่วนประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับนายธนพรสมศรี เป็นรองเลขาสกสค. ส่วนกระบวนการไปเป็นรองเลขามีการพูดคุยกันอย่างไร ขอให้ไปถามนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ อดีตเลขาสกสค.

ส่วนเรื่องผลประโยชน์หรือข้อทุจริตในการบริหารจัดการสกสค.จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรม หรือกระบวนการยุติธรรมอะไรตนก็ยินดีเพราะตนมั่นใจว่ากระบวนการสรรหาทั้งหมดอยู่ในระเบียบ กฎหมาย ส่วนจะโยงว่ามีวันนี้เพราะครูให้หรืออะไร ก็บอกชัดเจนอยู่ในเอกสารที่อภิปรายพ่อแม่ญาติพี่น้องเขาเป็นครู แล้วเกี่ยวอะไรกับตน พร้อมถามกลับว่าวันนี้ต้องการบริหารจัดการสกสค เพื่อให้เงินทั้งหมดกลับมาอยู่ในมือของครู

ส่วนเรื่องการทุจริตต่างๆใน สกสค. ก็ยังติดตามกันอยู่ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนปี 2557 พร้อมขอให้ตรวจสอบวันนี้ว่ามีกระบวนการทุจริตนำเงินครูและบุคลากรทางการศึกษาในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาหรือไม่ หากหาได้ตนยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ตนยืนยันว่าไม่มี เพราะต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการ มีความโปร่งใสในการทำงานสามารถขับเคลื่อนกระทรวงศึกษาธิการ และกำลังใจของบุคลากรทางการศึกษา วันนี้ก็มีการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ครู ไม่เกี่ยวกับสกสค ยืนยันว่าหาทางออกไม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่รอกระบวนการในช่วงโควิด เนื่องจากผู้ได้รับประโยชน์จากการทำหน้าที่ของสถาบันการเงินต่างๆ


ส่วนที่มีกล่าวอ้างว่าตนนั้นสร้างเครือข่ายทางการเมือง ไม่นึกถึงพวกพ้อง ไม่นึกถึงพรรคการเมือง แล้วตนจะนึกถึงพวกพ้องนักการเมืองได้อย่างไร ตนต้องนึกถึงครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งที่คนที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นต้องไปดูแล ยืนยันว่าตนไม่ได้สั่งการอะไรที่ผิดระเบียบ กระบวนการทั้งหมดไม่ได้เป็นการสั่งการเพื่อให้คนใดคนหนึ่ง ให้รัฐมนตรีช่วย หรือข้าราชการทางการเมืองใด มีอำนาจหน้าที่เหมือนข้าราชการประจำ แต่คือแผนการบูรณาการการศึกษา

จากนั้นฝ่ายค้านก็ลงประท้วงว่ารัฐมนตรีตอบไม่ตรงประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนทำให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องออกมาปรามว่าต้องให้โอกาสรัฐมนตรีได้ชี้แจงจะตรงประเด็นหรือไม่ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ใช่กระทู้ถาม และทางหนึ่งก็เป็นเรื่องดี หากรัฐมนตรีตอบไม่ได้ สมาชิกก็จะได้รับฟังในการลงมติ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง