ทำเนียบรัฐบาล 8 ม.ค.-“พล.อ.ประวิตร” ประชุมกก.ทำงบบูรณาการปี 65 เคาะแผนบูรณาการน้ำ เร่งแก้ท่วม-แล้งซ้ำซาก ย้ำใช้งบประมาณคุ้มค่า โปร่งใส ภายใต้สถานการณ์โควิด-19
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คณะที่ 1.2 แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านน้ำ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และ (ร่าง) แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยปีนี้เป็นปีแรกที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ และแผนงบประมาณการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
“ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดเป็นแผนงานบูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างแท้จริง สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง ปัญหาคุณภาพน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทุกมิติ ปัจจุบันเราต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดของ Covid-19 ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณแก้ปัญหาจำนวนมาก ดังนั้น การบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จะเป็นการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่า โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ที่สำคัญประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สอดคล้องตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์ชาติต่อไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า การพิจารณาแผนงานบูรณาการด้านน้ำ ปี 2565 ประกอบด้วยแผนงานจาก 23 หน่วยงาน ใน 9 กระทรวง จำนวนทั้งสิ้น 11,524 รายการ ที่มุ่งเน้นเป้าหมายและตัวชี้วัด ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ประชาชนนอกเขตกรุงเทพฯ สามารถเข้าถึงน้ำประปาได้ 825,601 ครัวเรือน ด้านที่ 2 การสร้างความมั่นคงของของน้ำภาคการผลิตได้ โดยมีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มอีก 620.81 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็นพื้นที่รับประโยชน์ 2,160,509 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ถึง 495,262 ครัวเรือน ด้านที่ 3 การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย มีพื้นที่ได้รับผลกระทบลดลง 1,810,914 ไร่ ป้องกันตลิ่งได้ 254 กิโลเมตร
“ด้านที่ 4 การจัดการคุณภาพน้ำและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ โดยแหล่งน้ำธรรมชาติได้รับการฟื้นฟูและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำเสีย 97 แห่ง ด้านที่ 5 การอนุรักษ์ ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน สามารถฟื้นฟูป่าและป้องกันการชะล้างของดินพื้นที่ต้นน้ำได้ 333,410 ไร่ และด้านที่ 6 การบริหารจัดการ มีแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ำอย่างสมดุล หลังจากนี้ สทนช.จะจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน / โครงการตามหลักเกณฑ์ที่พิจารณาร่วมกัน คือเป็นโครงการพระราชดำริและโครงการตามนโยบาย และเป็นโครงการที่วิเคราะห์เชิงพื้นที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน เป็นพื้นที่ท่วม-แล้งซ้ำซาก และอยู่ในพื้นที่เป้าหมาย Area Based 66 พื้นที่ เพื่อให้มีความสมบูรณ์ชัดเจน ขับเคลื่อนแผนงาน / โครงการได้อย่างเป็นระบบ และหน่วยงานจะได้ส่งคำขอตั้งงบประมาณให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้ตามปฏิทินงบประมาณ ต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว.-สำนักข่าวไทย