สธ.9 ธ.ค.-สธ.เผยวันนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 25 คนทั้งหมดอยู่ในสถานกักตัว พร้อมแจงรายละเอียดการสอบสวนโรคของบุคลากรทางการแพทย์ทำงานใน ASQ ติดโควิด สอบสวนโรคที่แท้เป็นการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตประจำวัน 4 คน หลังเพื่อนที่ป่วยรายแรก สวมชุดป้องกันไม่รัดกุม ขณะตรวจเชื้อครอบครัวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ พร้อมสรุปยอดเคสป่วยเกี่ยวข้องสถานบันเทิงท่าขี้เหล็กมีรวม 46 คน
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงพบคนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 25 คน เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศและเข้าระบบการกักตัวในสถานที่กักทั้งหมด ทำให้ยอดผู้ป่วยสะสม 4,151คน แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,461 คนและเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,690 คนรักษาหายป่วยแล้ว 3,880 คน ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) 211 คนเสียชีวิตสะสม 60 คน
ส่วนรายละเอียดของผู้ป่วยที่เดินทางกลับเข้าไทยนั้น มีหญิงไทย 7 คนเดินทางจากกลับมาจากเมียนมา ทั้งหมดทำงานที่สถานบันเทิงท่าขี้เหล็ก กักตัวใน Local quarantine เมื่อพบว่าป่วยจึงมารับการรักษาที่รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ส่วนที่เหลือเดินทางมาจากรัสเซีย ,สวีเดน ,สิงคโปร์ ประเทศละ 1คน,สวิสเซอร์แลนด์ 6 คน ตุรกี สหรัฐอเมริกา และ คูเวต ประเทศละ 2 คน ,เกาหลีใต้ 3 คน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าจากการติดตามผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก เมียนมา พบว่ามีทั้ง 46 คน โดยพบผู้ป่วยรายแรกวันที่ 28 พ.ย.และหากนับไปจะครบ 14วัน จะสิ้นสุดในวันที่13 ธ.ค.และพบว่ามีผู้ป่วยรายอื่นๆ กระจายไปใน 7จังหวัด ราชบุรี พิจิตร พะเยา กทม. เชียงใหม่ และสิงห์บุรี และการพบผู้ป่วยกรณีเคสท่าขี้เหล็กที่ลักลอบเข้าไทย มาสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 6ธ.ค.ที่เหลือพบว่าเข้าระบบและกักตัวดูอาการที่ Local quarantine จำนวนทั้งสิ้น 27 คน และจากการทำงานเชิงรุก ทำให้สามารถติดตัวผู้ป่วยที่เกี่ยวได้จนครบและไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวยังสามารถทำได้ตามปกติ และคนที่เดินทางไปเที่ยวเชียงราย เชียงใหม่ ไม่ต้องกักตัว แต่ขอให้มีการสวมหน้ากากนามัย และล้างมือ
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากการสอบสวนโรคหญิงสิงห์บุรีที่ทุกคนสงสัยสาเหตุการติดเชื้อโควิด พบว่ามีประวัติในการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงพิจิตร และ กทม.ที่ป่วยก่อนหน้า โดยมีประวัติเดินทางเที่ยวบินเดียว แต่นั่งห่างกันถึง 8 แถว โดยหญิงพิจิตรและกทม.นั่งหมายเลข 44J และ44K แต่หญิงสิงห์บุรีนั่ง 51C ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่ม ก็พบและเห็นว่ามีช่วงจังหวะที่หน้ากากอนามัยของหญิงพิจิตร กทม.ใส่ผิดวิธี คือหน้ากากลดลงระดับจมูก จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อ พร้อมย้ำโอกาสติดเชื้อบนเครื่องบินมีน้อยมาก และจากการตรวจหาเชื้อผู้ที่ใกล้ชิดที่นั่งใกล้กับหญิงพิจิตร และกทม. และบนเครื่องบิน และคนใกล้ชิดในจังหวัด สิงห์บุรี รวม 55 คน ผลเป็นลบทั้งหมด
นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนกรณีเคสบุคลากรทางการแพทย์ที่พบรวมทั้งสิ้น 5 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศนั้น พบว่าจากการสอบสวนโรค เป็นการติดเชื้อจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน 4 คน อีก 1 คนติดเชื้อจากความบกพร่องส่วนบุคคล โดยว่าผู้ป่วยรายแรกที่มีการรายงานที่ติดเชื้อ 3 ธ.ค.และรายงานต่อ ศบค.เป็นผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ไม่ใช่ผู้ป่วยรายแรกในเคสกลุ่มนี้ เพียงแต่รับเชื้อจากเพื่อนบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกัน จากการสอบสวนโรคทำให้พบผู้ป่วยผู้ป่วยรายที่2-3-4 และ 5 โดยพบว่าผู้ป่วยรายที่ 4 เป็นผู้ที่รับเชื้อคนแรก มีอาการคัดจมูก มีน้ำมูกแต่คิดและเข้าใจว่าตนเองป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดาจึงไม่ได้หยุดงาน ซึ่งจาการสอบสวนพบว่ามีการป่วยเมื่อวันที่ 29 พ.ย. และมีประวัติเข้าไปตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศเป็นครอบครัวรวมทั้งสิ้น 3 คน ใน ASQ โดยมีการสวมชุดป้องกันไม่รัดกุม จากนั้นทั้งผู้ป่วยรายที่1-2-3-4 ได้มารับประทานอาหารร่วมกันจึงถือเป็นการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนรายที่ 5 เป็นเพื่อนทำงานร่วมกัน
ทั้งนี้ จาการติดตามตรวจหาเชื้อในผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดทั้งหมด ทั้งเสี่ยงสูง 51 คนและเสี่ยงต่ำ 229 คน และเพื่อนในที่ทำงาน รวมถึงคณะกรรมการสอบเข้ารับสมัครใน รพ.รัฐแห่งหนึ่ง รวมอีก 745 คน ทั้งหมดให้ผลเป็นลบไม่พบเชื้อ .-สำนักข่าวไทย