ตร.ยันปฏิบัติตามยุทธวิธี-ไม่ได้ใช้กระสุน

กรุงเทพฯ 17 พ.ย. – รอง ผบช.น. ยืนยันการปฏิบัติการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมที่หน้าอาคารรัฐสภาเป็นไปตามยุทธวิธี หลังพบกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามฝ่าแนวกั้นตำรวจ พร้อมยืนยันตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนยาง หรือกระสุนจริง ในการปฏิบัติงานควบคุมฝูงชน โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 31 คน มีทั้งตำรวจ และผู้ชุมนุม


เวลา 23.15 น. พลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงสรุปผลการปฏิบัติงานในการควบคุมการชุมนุมตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่หน้าอาคารรัฐสภา เกียกกาย โดยยืนยันตำรวจปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย มีการเจรจา ประกาศแจ้งเตือน ผ่านแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมตลอดการปฏิบัติการ แต่พบว่ามีความพยายามจากกลุ่มผู้ชุมนุมในการกระทำผิดกฎหมาย ฝ่าแนวกั้นตำรวจ ขว้างพลุควัน รื้อแบริเออร์ ตัดรั้วลวดหนาม และพยายามทำร้ายตำรวจ ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามยุทธวิธี

ทั้งนี้  ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ใช้กระสุนยางหรือกระสุนจริงในการปฏิบัติการวันนี้


และจากเหตุการณ์นี้ ตำรวจได้รับรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 31 คน มีทั้งตำรวจ และกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมกันนี้ จะเร่งตรวจสอบว่ามีผู้บาดเจ็บจากกระสุนปืนในช่วงที่มีการปะทะกันบริเวณถนนทหาร หรือไม่ โดยความชัดเจนอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังขอความร่วมมือให้ผู้ที่มีหลักฐานกล้องโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องวงจรปิด ส่งมอบหลักฐานจากเหตุการณ์ปะทะกัน ให้ตำรวจเพื่อใช้ในการประกอบสำนวนคดี

ส่วนเรื่องความเสียหายของทรัพย์สินราชการ ทั้งในส่วนของรถยนต์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร อยู่ระหว่างการสำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย


ขณะที่ พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในส่วนของการปฏิบัติงานของตำรวจตั้งแต่ช่วงบ่าย มีการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา 4 กลุ่ม โดยมี 3 กลุ่มแจ้งขอชุมนุมกับตำรวจ

ส่วนกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าราษฎร ไม่ได้แจ้งชุมนุมไว้ และพบว่ากลุ่มนี้มีความพยายามที่จะฝ่าแนวกั้นของตำรวจเดินทางไปยังหน้าอาคารรัฐสภาในบริเวณแยกเกียกกาย และแยกบางกระบือ ทำให้ตำรวจมีความพยายามในการเจรจาขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการกระทำผิดกฏหมายแต่ไม่เป็นผล ตำรวจจึงมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานตามขั้นตอนโดยมีการประกาศแจ้งเตือน และฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา

กระทั่งในเวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณแยกเกียกกาย พบว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุม 2 กลุ่ม เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกัน โดยตำรวจได้ถอนกำลังออกมาจากจุดดังกล่าว

และในเวลาต่อมา แกนนำผู้ชุมนุมได้นำผู้ชุมนุมปักหลักปราศรัยและทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าอาคารรัฐสภา ก่อนจะยุติการชุมนุมในเวลาประมาณ 21.00 น.

สำหรับการนัดชุมนุมของกลุ่มราษฎรในวันที่ 18 พฤศจิกายน บริเวณแยกราชประสงค์ ตำรวจจะพิจารณา ในเรื่องของแผนการปฏิบัติงานอีกครั้งโดยจะแถลงรายละเอียดในเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง