13 พ.ย. – กสอ.กรุยทางเชื่อมคลัสเตอร์ผึ้ง อุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายยุทธศาสตร์ผนึก SMEs แกร่ง
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีทักษะการบริหารจัดการอุตสาหกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพและการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการผ่าน 2 เครื่องมือสำคัญ ประกอบด้วย เครื่องมือในเชิงพื้นที่ผ่านโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการในเชิงพื้นที่เข้มแข็งฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ 11,879 กิจการ และเครื่องมือในเชิงธุรกิจผ่านการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ จำนวน 103 กลุ่ม โดยตั้งเป้าปี 2564 ปั้น 29 คลัสเตอร์ ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพในการแข่งขัน คาดสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท เตรียมยกระดับ “คลัสเตอร์ผึ้ง” อุตสาหกรรมมูลค่าสูงในพื้นที่ภาคเหนือ ลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เสริมศักยภาพกระบวนแปรรูป การวิจัยคุณภาพน้ำผึ้ง เพื่อให้เทียบเท่าองค์กรระดับนานาชาติ
นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการผ่านการส่งเสริมทักษะการประกอบการในด้านต่าง ๆ การพัฒนาเทคโนโลยีให้กับกระบวนการผลิตและการแปรรูป การตลาด การบริหารจัดการ รวมทั้งการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยใช้ 2 เครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมผู้ประกอบการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือในระดับพื้นที่ในการรวมกลุ่มผู้ประกอบการทุกสาขาอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการส่งต่อข้อมูลการดำเนินธุรกิจ การช่วยเหลือกันของผู้ประกอบการในระดับจังหวัดและภูมิภาค ทำให้เครือข่ายผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2523 จนถึงปัจจุบัน ดำเนินการไปแล้ว 367 รุ่น ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 11,879 กิจการ ซึ่งผลพลอยได้จากการเข้าร่วมโครงการ ทำให้เกิดการผนึกเครือข่ายที่มีความเข้มแข็ง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งยังสามารถให้ความช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ระหว่างเกิดปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เกิดการช่วยเหลือระหว่างกันจนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ และโครงการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม หรือ คลัสเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในระดับธุรกิจที่รวบรวมผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพภายในเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดย กสอ.ได้ขยายผลการขับเคลื่อนการผนึกกลุ่มผู้ประกอบการบนแนวคิด Cluster Hub คือ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเชิงพื้นที่กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานสนับสนุน เพื่อให้เกิดการพัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน สามารถพัฒนาคลัสเตอร์ จำนวน 103 กลุ่ม โดยในปี 2564 มีแผนในการดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์รวมทั้งสิ้น 29 กลุ่ม แบ่งเป็น คลัสเตอร์เกษตรอุตสาหกรรม จำนวน 25 กลุ่ม และคลัสเตอร์กลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพ (S-Curve) จำนวน 4 กลุ่ม คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
นายณัฐพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือ โดยศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 1 ได้ดำเนินการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน สามารถพัฒนาคลัสเตอร์เสร็จสิ้นจำนวน 11 กลุ่ม โดยในปี 2563 ดำเนินการส่งเสริมคลัสเตอร์ 2 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย คลัสเตอร์ผ้าทอ ECO และคลัสเตอร์เครื่องมือแพทย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2.1 ล้านบาท ทั้งนี้ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ กสอ. เล็งเห็นถึงศักยภาพในการส่งเสริมให้เป็นคลัสเตอร์ ในปี 2564 คือ อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการผลิตน้ำผึ้งมากเป็นอันดับที่ 36 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากเวียดนาม โดยสามารถผลิตน้ำผึ้งได้ 10,000 ตันต่อปี และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน สหรัฐ อินโดนีเซีย แคนาดา และจีน จำนวนกว่า 7.9 พันตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 616.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดคู่แข่งทางการค้า ส่งผลให้ราคาน้ำผึ้งลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากส่งเสริมเป็นคลัสเตอร์ผึ้งจะสามารถพยุงมูลค่าให้ใกล้เคียงกับในช่วงปีที่ผ่านมา เสริมศักยภาพให้กับกระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ผ่านการจัดการเครื่องจักรกลที่ทันสมัย และยังช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยการจัดหาและจับคู่กับผู้ประกอบการในเครือข่ายของ กสอ. อาทิ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ในการนำน้ำผึ้งไปใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมโรงแรมนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาให้บริการกับผู้เข้าพัก
น.ส.สุวรัตนา ยาวิเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุภาฟาร์มผึ้ง จำกัด ระบุว่า สุภาฟาร์มผึ้ง ก่อตั้งเมื่อปี 2528 โดยคุณสมบูรณ์ และคุณสุภา ยาวิเลิศ สองสามีภรรยาซึ่งได้ศึกษาเรียนรู้การเลี้ยงผึ้งจากชาวไต้หวัน เริ่มจากอาชีพเสริมและพัฒนามาเป็นอาชีพหลัก เลี้ยงผึ้งภายในสวนลำไยของครอบครัวที่จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงโควิด-19 ยอดขายผลิตภัณฑ์ลดลงกว่าร้อยละ 70 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 1 จ.เชียงใหม่ ในโครงการแตกกอธุรกิจผ่านการจัดทำโมเดลธุรกิจใหม่ ขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้สูงอายุ มาสู่กลุ่มคนวัยทำงาน โดยให้ใช้แฟลตฟอร์มออนไลน์เป็นเครื่องมือในการขาย ทั้งการนำเสนอโปรโมชันผ่านระบบไลฟ์ และการนำเสนอคอนเทนต์ผ่าน Youtube ของสุภาฟาร์ม
ปัจจุบันมีกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก จำนวน 1,215 ราย น้ำผึ้งที่ผลิตออกมานั้นจะมีรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นอยู่กับอาหารที่ผึ้งได้รับ ตัวอย่างเช่นน้ำผึ้งจากดอกลำไย จะมีกลิ่นที่หอมกว่าน้ำผึ้งจากเกษรดอกไม้ทั่วไป หากผู้ประกอบการร่วมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการผลิตและได้รับการสนับสนุนนวัตกรรมเครื่องจักรกลที่ทันสมัย เชื่อว่าจะสามารถวิจัยเชิงลึกเกี่ยวสรรพคุณของน้ำผึ้งหรือสารสำคัญที่มีเฉพาะในน้ำผึ้งจากประเทศไทย จะสามารถยกระดับคลัสเตอร์ผึ้ง ให้เทียบเท่ากับสมาคมในระดับนานาชาติ
น.ส.สุวรัตนา กล่าวทิ้งท้าย อย่างไรก็ดี ในปี 2564 กสอ. มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด “ตลาดนำคลัสเตอร์” เพื่อเป็นพื้นฐาน การส่งเสริมด้วยการวางแผนการพัฒนาคลัสเตอร์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาด โดยบูรณาการเครื่องมือ ประกอบด้วย การให้คำปรึกษาแนะนำเบื้องต้นและเชิงลึก การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC 4.0) ตลอดจนบุคลากรและเครื่องมือการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thai-IDC) มาใช้ในกระบวนการพัฒนา โดยมีศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1-11 ซึ่งกระจายตัวทั่วประเทศให้เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและดำเนินงาน Cluster Hub ของพื้นที่
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กสอ.ได้จัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ นำทัพผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) ประกอบด้วย ผู้ประกอบการจากสุภาฟาร์มผึ้ง โรงแรมแอทพิงนคร ร้านโอ๋กะจู๋ ร้านอาหารลำดีตี้ขัวแดง และบริษัท อี.พี.เดคคอร์ จำกัด โชว์ศักยภาพเครือข่ายเข้มแข็งในพื้นที่ภาคเหนือทำให้สามารถดำเนินธุรกิจในภาวการณ์ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ. – สำนักข่าวไทย