กรุงเทพฯ 11 พ.ย. – นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน ประกาศไม่ได้ห่วงสถานะตัวเอง แต่ห่วงประเทศ ย้ำไม่ต้องการอำนาจ แต่อยากได้ความร่วมมือ ไม่ได้เป็นซูเปอร์แมน ทำงานคนเดียวไม่ได้ ระบุเข้าใจคนรุ่นใหม่ คิดไว เกิดมาในช่วงที่ทุกอย่างพร้อม แต่ไม่รู้ว่ากว่ามาถึงวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาและปาฐกถา ในงานสัมมนา “ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้นำสถานการณ์ที่เกิดจากโควิด-19 มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาหลายอย่าง และพยายามประคับประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเลิกจ้างงาน แต่ละประเทศมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะเรื่องเม็ดเงินที่ใช้ดูแลประชาชน ซึ่งแน่นอนว่ารัฐเพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถทำได้ แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนและประชาชน ทั้งหมดเพื่อร่วมกันหาหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศ และแผนนี้จะต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความสำคัญต่อการร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน สิ่งสำคัญวันนี้คือต้องนำเรื่องไกลตัวเข้ามาใกล้ตัว ขณะที่รัฐบาลพยายามสร้างความเท่าเทียมที่หมายถึงการให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากร โอกาส การรับบริการและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน แม้การขับเคลื่อนประเทศจะมีอุปสรรค แต่ไทยก็มีโอกาสมหาศาล เช่น การเป็นศูนย์กลางภูมิภาค และจะต้องไม่มีใครทำลายเสถียรภาพของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ประเทศไม่เคยมีการลงทุนในลักษณะนี้มานานแล้ว เพราะประเทศไม่สามารถพึ่งพิงเฉพาะการส่งออก การท่องเที่ยวเพียงอย่าวเดียวได้ ต้องเพิ่มสัดส่วน GDP ในทุกกลุ่มอาชีพ พร้อมกับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องพิจารณาสิทธิพิเศษ สร้างแรงจูงใจบนพื้นฐานที่ประเทศไม่ต้องเสียประโยชน์ ปัญหาทุกวันนี้ถูกเปรียบเทียบระหว่างคนรวยและคนจน จึงอยากให้ไปย้อนดูว่าที่ผ่านมา ผ่านอะไรมาบ้าง ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ตนไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ดีไม่ดีจะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นก็จะขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ ตนพูดมาตลอดว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง และวันนี้อะไรที่เป็นประโยชน์ลองเปิดดูบ้าง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ไม่ใช่เปิดดูเฉพาะหัวข้อ แต่อยากให้เข้าไปดูเนื้อหารายละเอียด ไม่ใช่รับรู้อย่างเดียวแต่หัวข้อ ไม่งั้นก็ตีกันไม่เลิก
“นักลงทุนอยากมาลงทุน แต่ยังตีกันไม่เลิก นักลงทุนก็ไม่กล้ามาลงทุน วันนี้ไม่ได้ห่วงสถานะตัวเอง ไม่ได้ห่วงในตำแหน่ง และไม่ได้อยากมีอำนาจ ผมมีอำนาจเหมือนไม่มีอำนาจ อำนาจผมไม่ต้องการ ผมต้องการความเข้าใจและความร่วมมือ ที่ผมพูดทุกวันนี้ ทุกคนบอกพูดเยอะ แต่ก็อยากระบายให้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง และผมจะอยู่ถึง 100 ปีได้อย่างไร หรือท่านเลขาอยู่ถึง 100 ปี วันนี้หลายเรื่องเอามาพันกัน จนมีปัญหาทุกเรื่อง ทั้งที่สิ่งดี ๆ มีเยอะ ผมไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ แต่จะรอดูการพาดหัว ผมไม่ได้จำกัดความคิด แต่ต้องระวัง ไม่ใช่ระวังตน แต่ประเทศชาติจะวุ่นวายและมีปัญหา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาต่าง ๆ ทุกอย่างมีขั้นตอน มีกฎหมาย ตนเองก็กลัวติดคุก แต่บางคนไม่กลัว กฎหมายเป็นส่วนสำคัญ ที่จะให้สังคมอยู่ร่วมกัน ปัญหามีไว้ให้แก้ อยากให้ไปดูต่างประเทศ ที่ในอดีตมีความขัดแย้งกัน ทั้งสงครามโลก ควรจะนำบทเรียน ประวัติศาสตร์มาเรียนรู้ และนำมาเป็นบทเรียน แต่ขออย่าเอาไปเขียนเอาไปคิด แล้วไปรบกันในโซเซียล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลเปิดโอกาสให้ราชการเป็นคนคิดแผนเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างหลุดรอดไปได้ และการทำงานนั้นไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่ทำงานแบบมีคณะทำงาน เพราะตนไม่ใช่ “ซูเปอร์แมน” ทำงานคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์คือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังไม่ใช่แค่คนในปัจจุบันหมายถึงลูกหลานในอนาคตด้วย อะไรต้องรับฟังความคิดเห็นแล้วนำมาปฏิบัติอะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องอธิบายและชี้แจงให้เข้าใจ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ที่มีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกเมื่อช่วงเช้าจนทำให้ระบบล่มว่า ประชาชนมีความพึงพอใจกับโครงการของรัฐ แต่เมื่อลงไม่ได้ ก็โทษว่ารัฐบาลแย่ อยากให้เข้าใจว่า AI ก็เหมือนคน เมื่อเข้ามามาก ๆ ก็ทำไม่ทัน แต่ไม่ว่าอย่างไร รัฐบาลก็ต้องแก้ไขปัญหา และดูแลประชาชนต่อไป
“ผมเข้าใจคนรุ่นใหม่ ที่คิดไว และเกิดมาในช่วงที่ทุกอย่างมีความพร้อมแล้ว เช่น มีรถไฟฟ้า จึงต้องการเรียกร้องในสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ได้รู้ว่า กว่าจะได้มาถึงทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลุงแก่แล้วอาจคิดไม่ทันพวกเธอ แต่ไม่ว่าอย่างไรประเทศจะเจริญหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการปาฐกถาในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี มีอารมณ์ขึ้นลงเป็นระยะ ๆ และหลายครั้งกล่าวติดตลกว่า วันนี้มาพูดให้ฟังว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ไม่ได้มาบ่น.-สำนักข่าวไทย