กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – กลุ่ม ปตท.เดินหน้า Project One ตั้งเป้าผลประโยชน์ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างเทรดดิ้ง-ไออาร์พีซี-จีซี-ไทยออยล์ ด้านเทรดดิ้งยอมรับยอดขายหดร้อยละ 8-10 ปีนี้จากผลโควิด-19 เร่งเสริมแกร่งค้าแอลเอ็นจี และใช้ประโยน์จากสำนักงานใหม่ในสหรัฐและอาบูดาบี
นายดิษทัต ปันยารชุน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท.เดินหน้า Project One เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของกลุ่ม ปตท.และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท.ในตลาดโลก ซึ่ง PTT Trading ร่วมกับ 3 โรงกลั่นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ได้จัดทำแผนงานนี้ร่วมกัน เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจ (Synergy) บริหารจัดการและจัดซื้อน้ำมันดิบร่วมกัน เพิ่มอำนาจการต่อรองในตลาดการค้า ไม่เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และจะเริ่มดำเนินการร่วมกันปี 2564 คาดภายใน 5 ปี จะเกิดประโยชนการสร้างมูลค่าเพิ่มประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 3,200 ล้านบาท
“นับเป็นการเพิ่มศักยภาพระหว่างกันในกลุ่ม ปตท.ด้วย Project One ทั้ง 3 โรงกลั่น และใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทรดดิ้งมาร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มในกลุ่ม ปตท.และผู้ถือหุ้นแล้ว ยังสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแก่ประเทศ เพราะหากเกิดปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ จุดใดจุดหนึ่งก็จะสามารถจัดหาน้ำมันจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลกมาเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ” นายดิษทัต กล่าว
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ หรือ Trading ปีนี้ คาดว่าปริมาณการค้าจะลดลงจากปี 2562 ประมาณร้อยละ 8-10 ซึ่งเป็นไปตามการใช้น้ำมันของโลกที่ลดลง และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณเทรดดิ้งของ ปตท.ปี 2564 จะกลับมาเท่ากับปี 2562 ซึ่งขณะนี้ ปตท.พยายามขายน้ำมันระหว่างประเทศ (out-out) เพิ่มขึ้นจะมีสัดส่วนตามเป้าหมายครึ่งหนึ่งของการค้าระหว่างประเทศปีหน้า จากที่ปีนี้มีสัดส่วนร้อยละ 48 ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดสำนักงานการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นทั้งในเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นสำนักงานเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากเดิมที่มีอยู่แล้วในสิงคโปร์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และเมืองเซี่ยงไฮ้ สหรัฐอเมริกา ทำให้สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา Trading Around the Clock นับเป็นก้าวสำคัญของ ปตท.ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการต่อรองและมีความมั่นคงด้านพลังงานเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการค้าของ PTT Trading เป็นการค้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมครอบคลุมทั้งน้ำมันดิบ คอนเดนเสท ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จ ปิโตรเคมี ตัวทำละลาย เคมีภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยปี 2562 ปริมาณการค้าน้ำมันอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน การค้าอนุพันธ์ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน การค้าแอลเอ็นจี 400,000 ตันในปี 2562 และเพิ่มเป็น 900,000 ตัน/ปีในปี 2563 และปีหน้าคาดไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน/ปี ส่วนการบริหารเรือขนส่งที่มีประมาณ 1,000 ลำต่อปี ที่เรียกว่า International Chartering และระบบการจัดการบริหารความเสี่ยงทุก ๆ ด้าน ทั้งสูตรราคาซื้อ-ขาย เวลาของการซื้อ-ขายที่แตกต่างกัน การติดตามปริมาณน้ำมันคงคลังที่เก็บสำรอง
“โลกของพลังงานมีความไม่สมดุลระหว่าง Supply และ Demand แต่ละภูมิภาคอยู่แล้ว หน่วยธุรกิจ “Trading”จับตามองและหาโอกาสที่จะทำการค้าข้ามภูมิภาคในช่วงที่ตลาดเอื้ออำนวย (Arbitrage Opportunity) อยู่เสมอ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากคลังน้ำมันสำรองที่เรามีอยู่ทั่วโลกสำหรับรับ-เก็บ-ผสม-จ่ายน้ำมันในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ด้วยองค์ความรู้ที่สั่งสมมา 30 ปี เรา ใช้เทคโนโลยี แพลทฟอร์ม แอ๊ปพลิเคชัน “T-Learning 360″ ในพื้นที่ T Space@8 ทำให้ติดตามและตัดสินใจค้าขายอย่างรวดเร็วทันความเปลี่ยนแปลง โดยปีนี้มั่นใจว่าธุรกิจเทรดดิ้งจะมีกำไร แม้ราคาน้ำมันจะผันผวนอย่างหนัก” นายดิษทัต กล่าว.-สำนักข่าวไทย
