กรุงเทพฯ 23 ส.ค.- “สุพล” ยัน ไม่มี บิ๊ก ป.โทรล็อบบี้ให้โหวตผ่านเรือดำน้ำ ฉะ “ยุทธพงศ์” ไร้มารยาท ปั้นน้ำเป็นตัว แจง เป็นประธานแต่ต้องลงมติเพราะข้อบังคับกำหนดให้ชี้ขาดเมื่อเสียงสองฝ่ายเท่ากัน
นายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2564 เปิดเผยกับสำนักข่าวไทยว่า ไม่เคยรับโทรศัพท์จากผู้ใหญ่ในรัฐบาลระดับนายพลที่มีชื่อว่า บิ๊ก ป.เพื่อให้ลงมติเห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำตามที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ระบุ เพราะในขณะประชุมตนปิดโทรศัพท์ ตนเป็นประธานในที่ประชุมจะเปิดโทรศัพท์เพื่อพูดคุยกับใครได้อย่างไร ตนมองว่าคนพูด เป็นคนไม่มีมารยาท ปั้นน้ำเป็นตัว ตนเห็นแต่นายยุทธพงศ์โทรศัพท์ตลอด ไม่รู้โทรศัพท์หาใครในที่ประชุม
ส่วนที่ต้องลงมติเห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำ ทั้งที่อยู่ในตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการนั้น นายสุพล กล่าวว่า ตนวางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด แต่เมื่อข้อบังคับการประชุมกำหนดว่า หากคะแนนเสียงเท่ากัน ประธานจะต้องเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งในขณะที่เจ้าหน้าที่ของสภาชี้แจงเรื่องข้อบังคับการประชุมข้อนี้ นายยุทธพงศ์ ก็นั่งอยู่ตอนนั้น ก็ต้องได้ยินเต็มสองหูว่า เมื่อคะแนนเท่ากันประธานจะต้องชี้ขาด แล้วผมจะชี้ขาดให้ฝ่ายค้านได้หรือ เพราะผมเป็นรัฐบาล
นายสุพล กล่าวว่า การชี้แจงของกองทัพเรือมีเหตุผล เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเดิม จะทำให้เกิดความเสียหายระหว่างประเทศ การลงทุนและการเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพเรือให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซียและเวียดนาม ก็มีเรือดำน้ำหลายลำ แม้กระทั่งกัมพูชาก็มีเรือดำน้ำ 2 ลำ ประเทศเมียนมาร์ก็มีเรือดำน้ำ เพื่อเป็นการรักษาประโยชน์ทางทะเลของชาติ ทั้งการปิโตรเลียม การประมง การเดินเรือทางทะเลต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ ดังนั้นกองทัพเรือต้องพัฒนาขีดความสามารถ
นายสุพล กล่าวว่า ส่วนเรื่องความเสียหายที่จะไปกระทบต่อประชาชนนั้น กองทัพเรือ ได้ชี้แจงต่อกรรมาธิการว่า ไม่กระทบ เพราะเป็นงบประมาณในส่วนของกองทัพเรือ ไม่ได้ขอเพิ่มจากส่วนอื่น ไม่ได้กระทบกับส่วนที่ช่วยเหลือประชาชน ที่สำคัญคือแบ่งจ่ายเป็นงวด สั่งเรือดำน้ำวันนี้ อีก 7 ปีถึงจะได้ ไม่ได้จ่ายทีเดียว 20,000 กว่าล้านบาท ตนก็ฟังอยู่ เมื่อเขามีเหตุผล ก็เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นสิทธิ์ของกรรมาธิการแต่ละคนที่จะลงมติ หากใครไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงมันเท่ากันก็เป็นสิทธิ์ของประธานตามข้อบังคับ ที่จะต้องชี้ขาด
นายสุพล กล่าวว่า หากไม่เดินตามข้อตกลงเดิม ก็จะเสียหายต่อประเทศ เป็นข้อตกลงเดิมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่า เป็นโครงการเก่า งบประมาณปี 2563 ทางกองทัพเรือนำเงินที่ได้จัดสรรงบประมาณเมื่อปี 2563 ไปให้รัฐบาลแก้ปัญหาโควิด-19 จึงได้ไปขอเจรจากับจีน และจีนก็เลื่อนให้ ว่าปี 2564 ค่อยจ่ายเงินในส่วนของปี 2563 และปี 2564 ก็ตั้งงบประมาณเพื่อไปใช้หนี้จ่ายงวดของปี 2563 ซึ่งหลังจากจบเรื่องนี้ในชั้นอนุกรรมาธิการแล้วก็สามารถไปขอทบทวนได้ในคณะกรรมาธิการชุดใหญ่
ส่วนที่นายยุทธพงศ์ ระบุว่า เอกสารสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำอาจจะเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่ใช่สัญญาแบบจีทูจี และผู้ลงนามในขณะนั้นไม่มีอำนาจในนามรัฐบาล นายสุพล กล่าวว่า นายยุทธพงศ์จะเอาความเห็นของตัวเองไปตัดสินว่าไม่เป็นจีทูจีและเป็นโมฆะไม่ได้ ต้องให้ผู้ที่มีหน้าที่เป็นคนตัดสิน เพราะนายยุทธพงศ์คือหนึ่งในความเห็นของกรรมาธิการ ให้คนที่มีหน้าที่ตัดสิน แล้วจะบอกว่าเป็นโมฆะหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่อำนาจของนายยุทธพงศ์ ซึ่งตนก็มองว่า วันนี้ยังเป็นจีทูจีอยู่ แล้วก็ยังมีผลอยู่ เพราะเป็นกฎหมายงบประมาณปี 2563 .-สำนักข่าวไทย