จุฬาฯ 5 ก.ค.-นักวิจัยภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผยแพร่ภาพการค้นพบ “กะท่างน้ำดอยภูคา” กะท่างน้ำชนิดใหม่ของโลก จากอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน บนแนวเทือกเขาหลวงพระบาง เป็นตัวชี้วัดสุขภาพป่าที่สมบูรณ์และไร้สารเคมีปนเปื้อน
ดร.ปรวีร์ พรหมโชติ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยคณะทำงานได้แก่ ผศ. ดร.วิเชฏฐ์ คนซื่อ และ ดร.ภาณุพงศ์ ธรรมโชติ อาจารย์จากภาควิชาเดียวกัน และได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยทั้งจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้สนับสนุนจากประเทศฝรั่งเศส และมหาวิทยาลัยพะเยา ภายใต้การสนับสนุนการสำรวจโดยศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดน่าน คณะวิจัยสนใจการค้นพบกะท่างน้ำ บริเวณดอยภูคาที่มีเรื่องเล่าการพบเห็นในนิตยสารบางฉบับมามาก กว่า 20 ปีแล้ว จึงสนใจที่ค้นคว้าเพิ่มเติมว่ากะท่างที่พบนั้นยังมีอยู่หรือไม่ เป็นจุดเริ่มต้นของการลงพื้นที่ โดยขออนุญาตและได้รับความอนุเคราะห์จาก นายฉัตรชัย โยธาวุธ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และมี นายพศิน อิ่นแก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานท่านอื่นๆ เป็นผู้นำเส้นทาง
ดร.ปรวีร์ กล่าวต่อไปว่า จากลักษณะทางกายภาพของ กะท่างน้ำดอยภูคา ที่มีสีน้ำตาลแถบส้ม รวมทั้งการตรวจแถบรหัสพันธุกรรม(DNA banding)ทำให้คณะนักวิจัยทราบได้ว่าสัตว์ตัวนี้ถือเป็นกะท่างน้ำสายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่สำคัญยังได้รับรู้ถึงความสมบูรณ์ของพื้นป่าบริเวณนี้อีกด้วย เพราะกะท่างน้ำดอยภูคา เป็นสัตว์ที่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดสุขภาพสิ่งแวดล้อมของผืนป่าในบริเวณที่พบได้เป็นอย่างดี จากธรรมชาติของ ไข่ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของกะท่าง จะอยู่อาศัยได้ในบริเวณผืนป่าสมบูรณ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกทำลาย รวมถึงพื้นที่นั้น ๆ ต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อน 100% เท่านั้น ซึ่งคณะนักวิจัยและคณะผู้นำทาง ต้องปีนขึ้นบนยอดดอยที่สูงชัน ผ่านป่าดิบที่สมบูรณ์ เพื่อค้นหาแอ่งน้ำ ที่เป็นแหล่งอาศัยของกะท่าง จนไปถึงแอ่งน้ำบนดอยหญ้าหวาย มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,795 เมตร โดยธรรมชาติของกะท่างนั้นจะอาศัยในแอ่งน้ำบริเวณหุบบนยอดเขามีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร และเป็นน้ำที่ปกคลุมด้วยหญ้าที่มีความสูงไม่มากนัก มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่กลางแอ่งน้ำและนอกจากนั้นยังมีขอนไม้ล้มที่มีโพรงจมอยู่กับพื้นของแอ่งน้ำที่มีความลึกไม่มากนัก หรือประมาณครึ่งหน้าแข้ง
ดร.ปรวีร์ กล่าวอีกว่า บริเวณดังกล่าวค้นพบกะท่างน้ำดอยภูคาปีนอยู่ตามกอหญ้า ขอนไม้และก้อนหินกลางแอ่งน้ำ มากกว่า 50 ตัว และส่วนใหญ่เป็นตัวผู้ เมื่อสำรวจทั้งแอ่งน้ำและริมตลิ่ง พบว่ากะท่างน้ำดอยภูคากำลังมุ่งหน้าเข้าผืนป่า คาดเดาว่าเป็นช่วงปลายของฤดูผสมพันธุ์ ธรรมชาติของกะท่างน้ำ เมื่อผสมพันธุ์กันแล้ว ตัวเมียจะวางไข่หลัง และทิ้งไข่ปล่อยให้ปรับตัวไปตามธรรมชาติ ส่วนตัวพ่อและแม่นั้นจะมุ่งหน้ากลับผืนป่า เพราะโดยธรรมชาติของกะท่างจะใช้ชีวิตอยู่บนบกยกเว้นช่วงเวลาผสมพันธุ์เท่านั้น
ทั้งนี้ การค้นพบดังกล่าว ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์เป็นที่เรียบร้อย
สำหรับ “กระท่างน้ำดอยภูคา” ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่พบ คืออุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Tylototriton phukhaensis จัดเป็นกะท่างน้ำชนิดที่ 5 ที่มีรายงานการตั้งชื่อในประเทศไทย
จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังกลุ่มสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในวงกระท่างน้ำ หรือ Family Salamandridae สัตว์ในวงนี้เป็นสัตว์เทินน้ำสะเทินบกที่มีลักษณะสำคัญคือมีสีน้ำตาลแถบส้ม มีขาสี่ข้าง มีหางยาว มีความแตกต่างจากกลุ่มของกบ เขียด คางคกที่เราคุ้นเคย ซึ่งเป็นญาติที่มีความใกล้ชิดกัน สัตว์ในกลุ่มนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก (เมื่อวัดจากปลายจมูกถึงปลายหางประมาณ 10 เซนติเมตร)
มีรูปร่าง 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 เรียกว่า newt หรือ นิวท์ มีลักษณะของผิวหนังที่ไม่เรียบ มีต่อมน้ำพิษปรากฏอยู่บนผิวหนังด้านหลัง บริเวณลำตัวและหัวมีสันที่ปรากฏอย่างชัดเจน มีสีสันบนลำตังไม่มากนัก ที่พบเด่นชัดคือ สีส้ม ที่ปรากฏตามสันของร่างกาย ปลายขาและปลายหาง
แบบที่ 2 เรียกว่า salamander หรือ ซาลาแมนเดอร์ มีลักษณะของผิวหนังเรียบลื่น อาจจะมีของต่อมน้ำพิษปรากฏอยู่หลังลูกตา ลำตัวมีร่องอยู่ด้านข้างระหว่างขาหน้าและขาหลัง ซึ่งจะไม่ปรากฏในกลุ่มนิ้วท์ พวกซาลาแมนเดอร์ไม่พบในประเทศไทย
สถานภาพของประชากร(สถานที่ค้นพบ)ปัจจุบันมีรายงานการค้นพบเพียงแห่งเดียวเท่านั้น จำเป็นที่จะต้องมีการสำรวจในบริเวณอื่นของเทือกเขาหลวงพระบาง ทางฟากล้านนาตะวันออกซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ถิ่นที่อยู่อาศัยของกะท่างน้ำในประเทศไทยนั้นมีขอบเขตการกระจายค่อนข้างจำกัด คือ จะพบในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางมากกว่า 1,000 เมตร และอยู่ในบริเวณที่มีอากาศเย็น แอ่งน้ำสะอาดและป่าปกคลุมที่ยังคงเป็นธรรมชาติ ดังนั้นกะท่างน้ำ สามารถใช้เป็นตัวขี้วัดทางชีวภาพที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของสิ่งแวดล้อมได้ .-สำนักข่าวไทย