สำนักข่าวไทย 27 พ.ค. 63 – พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจง เรื่อง ชง พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต่อสภาผู้แทนราษฎรจะเพื่อพิจารณาในการประชุมวันนี้ (27 พ.ค. 63)
พ.ร.ก. เงินกู้ 3 ฉบับ (นายกรัฐมนตรีฯ แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 27 พ.ค.63)
ตามที่ครม.มีมติ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 63 เห็นชอบให้มีการตรา พ.ร.ก. ให้กระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ซึ่ง พ.ร.ก. นี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 63
เหตุผลและความจำเป็น
– ปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรงทั่วโลกรวมประเทศไทย และองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้เป็นภาวะการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งโรคโควิด-19 ดังกล่าวนั้นเป็นโรคอุบัติใหม่ ทางการแพทย์ยังไม่มียารักษาและวัคซีนป้องกัน ส่งผลให้ผุ้ติดเชื้อทั่วโลกและภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถจะคาดการณ์ระยะเวลาที่แพร่ระบาดจะสิ้นสุดลงได้ สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง
– มาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของรัฐบาลและประเทศอื่น ๆ อาทิ มาตรการปิดพื้นที่ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายคน มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมของเศรษฐกิจทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลันทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2563 โดยในไตรมาสแรกเศรษฐไทย ปรับตัวลดลง ติดลบ ร้อยละ 1.8 ถือเป็นการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจไทย ครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2557 ทั้งนี้ภาคบริการโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2563 จากมาตรการควบคุมการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลงร้อยละ 38.01 จากไตรมาส 1 ปี 2562 ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว 332,013 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 40.39
– จากนั้นในการแพร่ระบาดภายในประเทศที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อในเดือนมกราคม 2563 และมีการระบาดหนักขึ้น ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2563 ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายคนและมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยการปิดสถานประกอบการณ์ สถานบริการต่าง ๆ รวมถึงสนามบิน เพื่อต้องการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเป็นขั้นตอน จากการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของประชาชนในทุกสาขาอาชีพ จากการคาดการณ์ผลกระทบต่อรายได้ของประเทศไทยในปี 2563 ลดลงถึง 9.28 แสนล้านบาท และคนว่างงานอาจจะสูงนับล้านคน โดยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย หรือ GDP ปี 2563 ติดลบ ร้อยละ 5.0-6.0 โดยภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่
1. ภาคการค้าระหว่างประเทศ ที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมและประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ จีน อินเดีย และเกาหลีใต้
2. ภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะปรับตัวลดลงรุนแรงมากขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก จากการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดของโรคอย่างเข้มข้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม
แม้ว่าการแก้ไขวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ทั้ง งบปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และการจัดทำ พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายปี 2563 แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และไม่ทันกับสถานการณ์ที่จะยุติการระบาดของโรค ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกภาคส่วนได้
ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อของประเทศให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขสถานการณ์และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความพร้อมด้านสาธารณสุขของประเทศ เพื่อรองรับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น การเยียวยาประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ จากมาตรการยับยั้งและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการฟื้นฟุ้สภาพเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุด จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเป็นทางเลือกสุดท้ายของรัฐบาลในการตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท
1. เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมประมาณหนึ่งล้านล้านบาท ซึ่งไม่อาจดำเนินการได้มาโดยวิธีการปกติจึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
2. เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
กรอบวินัยเงินกู้
การรักษาวินัยทางการเงิน การคลัง ความคุ้มค่า และความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินกู้ สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยทางการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อเป็นกรอบวินัยในการกู้เงินไว้ในกฎหมายฉบับนี้ สรุปได้ดังนี้
1. อำนาจการกู้เงินของกระทรวงการคลัง
– วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท
– ระยะเวลา ต้องลงนามในสัญญาเงินกู้หฟรือออกตราสารหนี้ ไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 64
2. การใช้จ่ายเงินกู้ จะต้องใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานโครงการตามบัญชีท้ายพระราชกำหนด ซึ่งประกอบด้วย 3 แผนงานหลัก ได้แก่
– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท
– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 555,000 ล้านบาท
– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 400,000 ล้านบาท
*ในกรณีจำเป็นคณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินภายใต้แผนงาน/โครงการได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์
3. การพิจารณากลั่นกรองและอนุมัติโครงการ แต่งตั้ง “คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้” เพื่อทำหน้าที่ ดังนี้
– พิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการก่อนเสนอ ครม.อนุมัติ
– กำกับดูแลการดำเนินโครงการ
– รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรี
4. การดำเนินแผนงาน/โครงการ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เป็นไปตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดกระบวนการพิจารณากลั่นกรอง และอนุมัติโครงการ ตลอดจนขั้นตอนการบริหารจัดการโครงการเรียบร้อยแล้ว
5. เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้
พ.ร.ก. ได้กำหนดให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. เสนอต่อรัฐบาลเพื่อทราบภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งรายงานดังกล่าวจะระบุรายละเอียดการกู้เงิน, วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้, ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ
มาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
ระยะที่ 1 และ 2 เป็นการช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของปะชาชน ดังนี้
– พักชำระหนี้ประชาชน
– มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการ
– ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง
– การลดค่าน้ำค่าไฟ
– การขยายเวลาชำระค่าน้ำค่าไฟ
– การคืนเงินประกันค่าใช้ไฟฟ้า
– การชะลอการจ่ายภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
– การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ
– มาตรการชดเชยรายได้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ
ระยะที่ 3 เป็นมาตรการดูแลเยียวยาผละกระทบ
– มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank)
– ตราพระราชกำหนด 3 ฉบับ
มาตรการดูแลและเยียวยา ระยะที่ 3 (ครอบคลุม 4 มิติ)
1. มิติด้านสาธารณสุข
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เป็นลำดับแรก พ.ร.ก. กู้เงิน เพื่อด้านสาธารณสุข เป็นค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท
2. มิติด้านสภาพคล่อง
เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มภาพคล่องให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ประกอบการ เป็น พ.ร.ก.กู้เงิน (เพื่อเยียวยา) วงเงิน 555,000 ล้านบาท และ พ.ร.ก. Soft Loan สำหรับ SMEs
3. มิติด้านการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
เนื่องจากเสถียรภาพของระบบการเงินเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงวิกฤติ โดย พ.ร.ก.BSF สำหรับรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมันในตลาดตราสารหนี้ เพื่อให้สามารถยังคงทำหน้าที่เป็น “แหล่งระดมทุน” ที่สำคัญของประเทศรองลงมาจากธนาคารพาณิชย์
4. มิติด้านการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาด
เมื่อวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพราะหากล่าช้า ความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้น
พ.ร.ก.กู้เงิน (เพื่อฟื้นฟู) ได้กำหนดวงเงินไว้ 400,000 ล้านบาท เน้นเศรษฐกิจและสังคม (New Normal)
1) เน้นสาขาเศรษฐกิจที่มีความได้เปรียบและมีโอกาสสร้างการเติบโต เช่น
– เกษตรอัจฉริยะ
– เกษตรมูลค่าสูง
– เกษตรแปรรูป
– อุตสาหกรรมอาหาร Bio-Economy
– การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน
– อุตสาหากรรมการให้บริการ
– เศรษฐกิจสร้างสรรค์
2) มุ่งเน้นให้เกิดการสร้างงานและสร้างอาชีพของเศรษฐกิจฐานราก
– กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน
– พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
– เตรียมความพร้อมของประเทศเพื่อรองรับการใช้วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ภายหลังวิกฤติการระบาดของโควิด-19
ผลกระทบต่อสถานะหนี้สาธารณะและการวางแผนการกู้เงินของรัฐบาล
การกู้เงินของรัฐบาลในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ เมื่อรวมกับการกู้เงินกรณีอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 เป็น ร้อยละ 57.96 ซึ่งกรอบบริหารหนี้สาธารณะไม่เกิน ร้อยละ 60
แหล่งที่มาของเงินกู้ (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ)
รัฐบาลจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็จะพิจารณาเงื่อนไขและกระตุ้นการกู้เงินจากแหล่งกู้เงินต่างประเทศอีกทางหนึ่ง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรอง หากสภาพคล่องในประเทศไม่เพียงพอด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับปริมาณเงินในระบบของตลาดการเงินภายในประเทศ (Crowding out Effect)
แนวทางการใช้จ่ายเงินกู้
1. กำหนดกระบวนการกลั่นกรองโครงการผ่านกลไกของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
2. ต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
3. อยุ่ภายใต้แผนงาน/โครงการที่กำหนดตามบัญชีท้าย พ.ร.ก. เท่านั้น
4. ต้องมีการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมและความคุ้มค่าของโครงการ, ความจำเป็นเร่งด่วน, ไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณ และหน่วยงานมีความพร้อมดำเนินการได้ทันที.-สำนักข่าวไทย