ศาลปกครอง 27 ก.พ. – “ศรีสุวรรณ-พลภาขุน” ฟ้องศาลปกครองเพิกถอนมติ ครม.ต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ขัดรัฐธรรมนูญ หวั่นรัฐอาจเสียค่าโง่ทางด่วนซ้ำรอบ 3 ขอศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ระงับมติ ครม. หลังสัญญาเดิมหมดพรุ่งนี้
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ผู้ประสานงานคณะราษฎรไทยแห่งชาติ และตัวแทนองค์กรของผู้บริโภคเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น เข้ายื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 8 ราย ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ที่เห็นชอบแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช) รวมถึง ส่วน D และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา)
นอกจากนี้ ขอให้เพิกถอนสัญญาใดๆ ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่ลงนามสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) กับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.บีอีเอ็ม) และขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว สั่งห้ามไม้ให้กระทรวงคมนาคมลงนามในสัญญาสัมปทานดังกล่าว หลังจากสัญญาสัมปทานเดิมจะสิ้นสุด ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
นายพลภาขุน กล่าวว่า ทางด่วนขั้นที่ 2 จะหมดสัญญาณสัมปทาน และให้ทรัพย์สินตกเป็นของรัฐ วันพรุ่งนี้ (28 ก.พ.) แต่คณะรัฐมนตรีกลับมีมติต่อสัญญาไปอีก 15 ปี 8 เดือน โดยไม่ได้ให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลพิทักษ์ทรัพย์สินของประเทศ และถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน ที่จะได้ใช้ทรัพยากรที่ควรตกเป็นของรัฐในราคาถูก อีกทั้ง สัญญาที่จะมีการลงนาม ก็ไม่เคยเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาค่าผ่านทาง ว่าจะมีการกำหนดหรือปรับขึ้นอย่างไร
“เห็นว่าการที่คณะรัฐมนตรีมีมติต่อสัญญา เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ จึงต้องมายื่นร้องต่อศาลปกครอง และอยากให้ศาลรักษามาตรฐานในการวินิจฉัยคดีที่มีผลกระทบต่อประชาชน โดยมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษารวดเร็ว เช่นเดียวกับที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีเซ็นทรัล วิลเลจ ภายใน 7 วัน หลังจากรับคำฟ้อง” นายพลภาขุน กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การต่อสัญญาและการลงนามสัญญาดังกล่าว มีข้อพิรุธหลายประการ และที่สำคัญ มีทิศทางว่าจะนำไปสู่ค่าโง่ทางด่วนอีกครั้ง เป็นรอบที่ 3 โดยเฉพาะในสัญญาที่ระบุว่า จะเปิดโอกาสให้เอกชนได้สิทธิต่อสัมปทานได้อีก อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี และเห็นว่า ข้ออ้างที่ว่าว่าการต่อสัญญาจะนำไปสู่การเพิกถอนคดีความต่างๆ ระหว่างรัฐกับเอกชน รวม 17 คดี ที่ฟ้องร้องกันอยู่ในศาล ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเมื่อรัฐมีคดีความกับเอกชน หรือประชาชนแล้ว โดยปกติก็จะมีการสู้คดีกันจนถึงที่สุด จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดออกมา ไม่เคยมีที่หน่วยงานของรัฐจะหยุดกลางคัน หรือ ยกธงขาวก่อน
“คำกล่าวดังกล่าวจึงถือว่าเป็นข้อพิรุธ และ 17 คดีดังกล่าว ที่ผ่านมาบางคดี กทพ.ก็เป็นผู้ชนะ ดังนั้น จะไปเหมาว่าทั้ง 17 คดี ต้องแพ้ทั้งหมด เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เรื่องเหล่านี้เป็นผลประโยชน์โดยตรงของสาธารณชน ที่หน่วยงานของรัฐต้องปกป้อง ไม่ควรทำในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน” นายศรีสุวรรณ กล่าว .- สำนักข่าวไทย