กรุงเทพฯท 25 พ.ย.- บจ. SET งบ 9 เดือน รายได้โต 7.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สอดคล้องกับ GDP ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันและปิโตรเคมีภัณฑ์จากราคาน้ำมันที่ลดลง
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) 810บริษัท คิดเป็น 98.8% จากทั้งหมด 820 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 กันยายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฎิทิน) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 617 บริษัท คิดเป็น 76.2% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 13,174,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 8.8% และ 10.0% ตามลำดับ ทำให้บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,206,922ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686,492 ล้านบาท ลดลง 2.1% และ 5.4% ตามลำดับ ทั้งนี้ หากพิจารณาในกลุ่มธุรกิจทั่วไป (ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์) บจ. จะมียอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.0% 13.2% และ 8.4% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 กันยายน 2567บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.54 เท่า ลดลงจาก 1.60 เท่า
“การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลบวกให้ บจ. ไทยที่ทำธุรกิจด้านการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีผลประกอบการดีขึ้น เช่น หมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงิน ยังเติบโตได้ดีจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงในไตรมาส 3ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรก แม้รายได้ยังเติบโต แต่มีกำไรสุทธิลดลง” นายอัสสเดชกล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอไอ (mai) งวด 9 เดือนแรกปี 2567 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงเติบโต โดยมียอดขายรวม 155,843 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.9% ขณะที่ บจ. ควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,364 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,302 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31.0% และ 27.2% ตามลำดับ.-516-สำนักข่าวไทย