กรุงเทพฯ 27 ต.ค. – สทนช.เร่งวางแผนบริหารจัดการน้ำอุบลฯ เคาะ 8 แผนรับมือแล้ง 62/63 พร้อมหารือการใช้อำนาจ พ.ร.บ.น้ำฯ เร่งขับเคลื่อนศูนย์น้ำจังหวัด วางแผนบริหารน้ำในเขื่อนรองรับฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา สทนช.ร่วมประชุมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งของจังหวัดอุบลราชธานี และการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำมูลตอนล่าง ที่ประชุมได้มีการหารือการเตรียมความพร้อมก่อนฤดูแล้ง 2562/2563 ที่กำลังจะมาถึง เนื่องจาก จ.อุบลฯ ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างรวดเร็วและรุนแรงและแล้งอย่างกะทันหัน ดังนั้น สทนช.จึงได้มีการหารือกับที่ประชุมถึงแนวทางการปรับเปลี่ยนทิศทางบริหารจัดการเขื่อนต่าง ๆ โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.น้ำ เพื่อรองรับฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงภัยขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคตั้งแต่ปลายตุลาคม 2562 จนถึงพฤษภาคม 2563
นายสมเกียรติ กล่าวว่า สทนช.คาดการณ์ว่าน้ำท่าฤดูแล้งจากลุ่มน้ำชีและมูลจะน้อยกว่าปกติมาก เนื่องจากเกิดฝนตกและน้ำท่วมเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำชีและมูลตอนล่าง ส่วนพื้นที่ต้นน้ำและกลางน้ำลุ่มชี-มูล ฝนตกน้อยและหมดเร็วกว่าปกติ ดังนั้น ปริมาณน้ำท่าที่จะไหลมาจากแม่น้ำชีและมูลที่จะเติมให้มูลตอนล่างและอุบลราชธานีจะน้อยลงมาก แม้ว่าปัจจุบัน สทนช.ได้ประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับลดการระบายน้ำเขื่อนปากมูลเพื่อเก็บกักน้ำไว้ในลำน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้งที่จะถึงนี้แล้วก็ตาม โดยขณะนี้มีการระบายน้ำแม่น้ำชีท้ายเขื่อนธาตุน้อยมาให้การใช้น้ำอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศที่ จ.อุบลฯ 150,000 ลบ.ม./วัน และจากแม่น้ำมูลท้ายเขื่อนหัวนาวันละ 50,000 ลบ.ม./วัน รวมน้ำไหลเข้า 200,000 ลบ.ม./วัน ในช่วง 2 สัปดาห์หลังจากปิดบานเขื่อนปากมูล ระดับน้ำมูลอยู่สูงกว่าระดับต่ำสุดสูบน้ำประปา 0.5 ม. ซึ่งทางจังหวัดมีความกังวลกับปริมาณน้ำที่อาจไม่เพียงพอช่วงฤดูแล้ง เนื่องจากจำเป็นต้องจัดสรรน้ำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อเตรียมการฟื้นฟูด้านการเกษตรหลังประสบอุทกภัย อาทิ ปลูกพืชระยะสั้น ปลูกข้าวนาปรัง การประมง ฯลฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมหาข้อสรุปแนวทางมาตรการและแนวทางการเตรียมความพร้อมฤดูแล้ง 2562/2563 สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำมูลตอนล่างและจังหวัดอุบลราชธานี 8 มาตรการหลัก คือ 1.การบริหารจัดการน้ำสำหรับฤดูแล้ง 2562/2563 ต้องบริหารจัดการร่วมเพื่อวัตถุประสงค์สำคัญลำดับแรก คือ น้ำอุปโภคบริโภค 2. ฤดูแล้ง 2562/2563 มีปริมาณน้ำต้นทุนจากต้นน้ำลุ่มน้ำชีและมูลน้อยกว่าปกติ จำเป็นต้องใช้น้ำต้นทุนจากด้านท้ายน้ำจากเขื่อนสิรินธรเป็นน้ำต้นทุนน้ำอุปโภคบริโภค และใช้เขื่อนปากมูลทดระดับน้ำมูลไม่ให้ต่ำกว่าระดับ 107.5 ม.รทก. โดยทดระดับให้สูงขึ้นเสมอกันจากหน้าเขื่อนปากมูลถึง M.7 อำเภอเมืองอุบลราชธานี เพื่อความมั่นคงของน้ำอุปโภคบริโภค หากระดับน้ำสูงมากกวา 107.5 ม.รทก. จึงจะระบายน้ำออกจากเขื่อนปากมูลผ่านเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า
3. ให้มีการรายงานข้อมูล ปริมาณน้ำ ระดับน้ำ การใช้น้ำ การระบายน้ำของเขื่อนต่าง ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางบริหารจัดการน้ำตามสถานการณ์ได้ทันการณ์ รวมทั้งติดตามข้อมูลคุณภาพน้ำ 4. น้ำสำหรับประปาควรมีแผนสำรอง ในกรณีเกิดวิกฤติขาดน้ำ 5. พื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานให้พิจารณาที่จำเป็น โดยให้คณะกรรมการด้านเกษตรประชุมพิจารณาแผนพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เสียหายโดยสิ้นเชิงในฤดูฝน และสามารถใช้น้ำตามแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็กของท้องถิ่น และริมน้ำมูลได้ เพื่อให้ทราบความต้องการใช้น้ำเกษตรในฤดูแล้งที่จำเป็น 6.ลดหรืองดการอนุญาตเลี้ยงปลาในกระชังในแม่น้ำมูลตอนล่าง ด้วยน้ำต้นทุนน้อย
7. พิจารณาแนวทางเบื้องต้นของแผนงานเป็นระบบทั้งแผนงานเร่งด่วนที่จำเป็น ระยะกลาง และระยะยาวที่ยั่งยืน และ 8. เห็นชอบกับการตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัด เพื่อเชื่อมโยงงานบูรณาการงานทั้งระหว่างลุ่มน้ำชีและมูล ทั้งในส่วนของการติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำตาม พ.ร.บ.น้ำ 61 และการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเชื่อมโยงขั้นตอนในการบริหารจัดการน้ำท่วมภัยแล้งอย่างรวดเร็วทันการณ์ทั้งในขั้นตอนก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย.-สำนักข่าวไทย