ยายวัย 70 ที่ตายแล้วฟื้น ตายจริงแล้ว

อุดรธานี 24 ต.ค.- แตกตื่นทั้งวัด ยายวัย 70 ปีตายแล้วฟื้น ขณะญาติจะนำร่างเข้าเตาเผา แต่ล่าสุดได้เสียชีวิตจริงๆ แล้ว


ที่ จ.อุดรธานี เมื่อเย็นวันที่ 23 ตุลาคม ได้รับแจ้งจากเทศบาลตำบลบ้านเชียง อ.หนองหาน ว่ามีคนตายแล้วฟื้น ขณะที่สามีพร้อมลูกหลานและญาติเตรียมนำร่างเข้าเตาเผาพิธีฌาปนกิจที่เมรุเผาศพ วัดอัมพวัน ชื่อคุณยายพินิจ โสภาจร อายุ 70 ปี ทางทีมกู้ชีพและกู้ภัย ช่วยปั้มหัวใจขึ้น และนำร่างมาดูแลต่อที่บ้าน พยายามช่วยให้มีร่างกายที่อบอุ่น หลังอยู่ในโลงเย็นบรรจุศพมาเกือบ 3 วัน ญาติๆที่เดินทางมาร่วมงานศพ บางคนมาไกลจากต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ก็พากันจับกลุ่มคุยถึงเรื่องที่คุณยายตายแล้วฟื้น  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


แตกตื่นทั้งวัด! ยายวัย 70 ตายแล้วฟื้นขณะญาตินำร่างเข้าเตาเผา

นางบุษบา โสภาจร  ลูกสาวของคุณยายพินิจ เล่าถึงเหตุการณ์เหลือเชื่อว่าแม่เสียชีวิตประมาณตี 1 ของวันที่ 20 ตุลาคม ลูกหลานก็จัดงานบำเพ็ญกุศลตามประเพณี จนวันที่ 23 ประมาณบ่ายโมง ได้เคลื่อนศพแม่ออกจากบ้านไปวัดอัมพะวัน โดยมีการนำศพวนรอบเมรุ 3 รอบ มีพิธีการตามปกติ แต่ในพิธีการขั้นสุดท้ายขณะที่พ่อกำลังรดน้ำหอมหน้าศพ ปรากฏว่าแม่ลืมตาขึ้นมา ทำให้พ่อร้องลั่นดังทั่ววัด บอกว่าแม่ยังไม่ตาย 

 


นายถวิลเล่าว่าภรรยาป่วยเป็นโรคคอพอกมาตั้งแต่เด็กรักษาอยู่ 20 ปี อาการก็ทุเลามาเรื่อย แต่ 10 วันที่ผ่านมา มีอาการเป็นไข้ มีเสมหะติดลำคอหายใจไม่ปกติ จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล รักษาได้ 3-4 วัน หมอบอกว่าสมองบวม หลังจากนั้นอาการก็ทรุดหนัก และญาติขอนำกลับมา เพราะขอให้ตายอย่างสงบที่บ้าน 

นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม  มีเส้นเลือดใหญ่ที่ไปสมองอุดตัน ทำให้สมองขาดเลือด และผู้ป่วยหายใจเองไม่ได้ โดยทางญาติก็ทราบว่าผู้ป่วยมีอายุ 70 ปี โอกาสฟื้นตัวได้น้อย ทางญาติจึงขออนุญาตนำตัวผู้ป่วยกลับไป เพื่อให้เสียชีวิตที่บ้าน ขณะที่กำลังจะทำพิธีฌาปนกิจศพอยู่นั้น ผู้เสียชีวิตได้ลืมตา ซึ่งในกรณีดังกล่าวนั้น อาจจะเกิดจากการที่ถูกความเย็นในโลงเย็นแล้ว หรือช่วงที่เสียชีวิตมีเซลล์บางส่วนที่ฝ่อลงและบางลง เมื่อมีน้ำไปโดนขณะล้างหน้าศพ ก็อาจเป็นปฏิกริยา กล้ามเนื้อเกิดปฏิกิริยากล้ามเนื้อหดตัวทำให้ตาลืมขึ้น ซึ่งหน่วยกู้ชีพโรงพยาบาลหนองหาน ก็ได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบแล้ว มีการใช้เครื่องมือกระตุ้นหัวใจ และวัดหาสัญญาณชีพ ก็พบว่าผู้เสียชีวิตไม่มีชีพจรแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุด นายถวิลฯ ลูกหลาน และญาติ ได้นำศพนางพินิจฯ ทำพิธีฌาปนกิจศพ ในช่วงเวลา 13.00 น. วันนี้ ที่วัดป่าอ้อมแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ในหมู่บ้านของผู้ตาย แต่ทั้งนี้ทางญาติของนางพินิจฯ ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าว บอกว่าขอให้จบข่าวเพียงเท่านี้ 

ส่วนคอหวยไม่พลาดเช่นเคย ต่างพากันแห่ตีเลขเด็ด บ้านเลขที่ 70 และ อายุของคุณยายพินิจ ก็อายุ 70 ปี 2 เดือน กับอีก 4 วัน ทำให้เลข 70 และ 724 ขายดีจนเกลี้ยงแผงในงานศพครั้งนี้ ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง