กทม.17 ต.ค.- ผลสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่ามีมูลกรณีอดีตอัยการจังหวัดภูเก็ตเรียกเงินผู้ต้องหาคดีบุกรุกป่าแลกกับการสั่งไม่ฟ้อง
ความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผู้ต้องหาคดีบุกรุกป่าในจังหวัดภูเก็ต อ้างว่าถูกอดีตอัยการจังหวัดภูเก็ต เรียกเงิน 7 หลัก แลกกับการสั่งไม่ฟ้อง พบว่า มีมูลความจริง และมีการรายงานผลสอบมายังสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งก็มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ตามรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่อธิบดีอัยการภาค 8 แต่งตั้งขึ้น หากผลการตรวจสอบพบว่าเรียกรับเงินจริง จะเข้าสู่กระบวนการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง หากขั้นตอนนี้พบว่ามีความผิดจริงจะถูกดำเนินคดีอาญาด้วย โดยในส่วนของการสอบวินัย โทษสูงสุดคือไล่ออกจากราชการ ส่วนคดีอาญามีโทษสูงสุดถึง 10 ปี
สำหรับการดำเนินการกับข้าราชการสำนักงานอัยการสูงสุด หากถูกร้องเรียน เริ่มจากตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น หากพบว่ามีมูล จะส่งผลการตรวจสอบให้สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้ผู้ถูกร้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อความเป็นธรรม ก่อนจะสรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าผู้ถูกร้องเรียนกระทำผิดจริง อัยการสูงสุด จะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบวินัยร้ายแรง เพื่อลงโทษตั้งแต่ภาคทัณฑ์ถึงไล่ออกจากราชการและเอาผิดทางอาญาด้วย ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง อาทิ เมื่อ 3 ปีก่อนมีอดีตอัยการในพื้นที่ภาคอีสานเรียกรับเงิน 10 ล้านบาทจากญาติผู้ต้องหาคดียาเสพติด แลกกับการช่วยเหลือทางคดี ซึ่งญาติผู้ต้องหาได้บันทึกเสียงแล้วนำมาร้องเรียน ที่สุดแล้วอดีตอัยการคนดังกล่าวถูกไล่ออกจากราชการและโดนคดีอาญาต้องโทษจำคุก ถึง 10 ปี.-สำนักข่าวไทย