สำนักข่าวไทย 11 ต.ค.-นักวิชาการด้านภัยพิบัติเชื่อประเทศญี่ปุ่น รับมือพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากีบิสได้ ยันไม่รุนแรงที่สุดในโลก ส่วนคนไทย ยังไปท่องเที่ยวได้ เพียงแต่ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัททีมคอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG นักวิชาการด้านภัยพิบัติ กล่าวถึงพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากีบิส ที่จะพัดเข้าประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 12 ตุลาคมนี้ ว่า ตนได้ติดตามความเคลื่อนไหวของพายุลูกนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม โดยในช่วงแรกยังเป็นดีเปรสชัน ต่อมาได้สะสมพลังงานในทะเลจนกลายเป็นไต้ฝุ่น ที่มีความเร็ว แรง ระดับ 5 ในวันที่ 9 และ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อเจอกับ ลมหนาวจากจีน ทำให้อ่อนกำลังลง เหลือเพียงพายุไต้ฝุ่น ระดับ 3 – 4 เท่านั้น
โดยวันพรุ่งนี้ จะพัดเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้โอซาก้าฝนตกหนัก ขณะที่แกนของพายุจะตรงเข้าสู่โตเกียว ซึ่งทั้ง 2 เมืองนี้จะมีคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ดังนั้น วิธีการที่ดี ควรอยู่แต่โรงแรมที่พัก เพราะมีอาหารและน้ำรองรับ ไม่ควรออกไปไหน เนื่องจากระบบคมนาคม ของญี่ปุ่น จะปิดตัวลง
อย่างไรก็ตามเห็นว่าเมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวแล้ว ควรใช้วิกฤติเป็นโอกาส ถ่ายรูปพายุ ที่มีกำลังลมสูง มากกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไว้เป็นที่ระลึกและดูมาตรการในการเตรียมการรับมือกับพายุของประเทศญี่ปุ่น
นายชวลิต กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 12 ต.ค.นี้ พายุจะเข้าสู่โอซาก้า นารา โตเกียว และจะอ่อนกำลังลง เหลือ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุลูกนี้จะเข้าญี่ปุ่น ใช้เวลา 2 วัน คือวันที่ 12 และ 13 ตุลาคม
ส่วนที่มีข่าวว่า ซูเปอร์พายุไต้ฝุ่นลูกนี้ ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเจอมา จริงหรือไม่นั้น นายชวลิต กล่าวว่า ที่ผ่านมาโลกนี้เคยมีพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่ใหญ่กว่านี้ คือ พายุไห่เยี่ยน ซึ่งพัดเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยขณะขึ้นฝั่ง มีความรุนแรงอยู่ที่ไต้ฝุ่นระดับ 5 ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งพายุลูกนี้ยังส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยโดยเป็นดีเปรสชันด้วยและในปีนี้ ยังมีซูเปอร์พายุไต้ฝุ่น ชื่อ ‘โดเรียน’ ที่พัดขึ้นฝั่งที่ฟลอริดา และไมอามีของสหรัฐ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับสหรัฐเป็นอย่างมาก
ขณะที่ในประเทศไทย โอกาสเกิดพายุลักษณะนี้ น้อยมาก ในอดีตเคยมีพายุเกย์ ซึ่งมีความแรง เป็นซูเปอร์พายุไต้ฝุ่นระดับ 4 เท่านั้น
ส่วนกรณีมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะทำให้ถึงวันสิ้นโลกหรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า ในยุคนี้และรุ่นลูกหลาน คงไม่ถึงขนาดนั้น หากพวกเราช่วยกันดูแลโลก เพราะเพียงอุณหภูมิในน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงแค่ครึ่งองศา ก็จะทำให้เกิด เอลนีโญ ฝนน้อย น้ำน้อย และลานีญา ฝนมากน้ำมาก ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันใช้น้ำมันและถ่านหิน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากการพยากรณ์ที่เชื่อถือได้ คืออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ส่งผลให้น้ำแข็งทั่วโลกละลาย คาดการณ์ว่า 80 ปีข้างหน้า น้ำทะเลจะสูงขึ้น สูงสุด 60 เซนติเมตร หากใครที่มีบ้านพักอยู่ริมแม่น้ำหรือทะเล จะต้องถมที่ให้สูง ไม่ต่ำกว่า 1 เมตร 50 เซนติเมตร แต่ไม่ถึงขนาดที่มีความกังวลกันว่า น้ำทะเลจะท่วมถึง จ.อ่างทอง ไม่เป็นความจริง .-สำนักข่าวไทย