กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – ก.เกษตรฯ เสนอแผนฟื้นฟูเกษตรกรประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 62 และแผนส่งเสริมอาชีพเข้า ครม.วันนี้ คาดใช้งบประมาณ 5,400 ล้านบาท เน้นช่วยเหลือเกษตรกรกลับมาประกอบอาชีพได้ทันทีและสร้างรายได้ระยะเวลาอันรวดเร็ว
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้จะเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 2562 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกรที่ประสบทั้งภาวะฝนทิ้งช่วง เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนสิงหาคมและอุทกภัยเนื่องจากอิทธิพลพายุโพดุลและคาจิกิตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมเป็นต้นมา
ทั้งนี้ พื้นที่ที่ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงส่งผลให้พื้นที่การเกษตรเสียหายสิ้นเชิงมี 19 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี กำแพงเพชร เชียงราย น่าน นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สระแก้ว ลพบุรี สระบุรี และพัทลุง เกษตรกร 398,428 ราย พื้นที่ 4.64 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าว 3.83 ล้านไร่ พืชไร่-พืชสวนและอื่น ๆ 810,000 ไร่ สำหรับพื้นที่ประสบอุทกภัยมี 30 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ แพร่ น่าน พิจิตร พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร หนองคาย อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี ตราด นครนายก กระบี่ สุรินทร์ และสระแก้ว พื้นที่เกษตรที่เสียหายสิ้นเชิง 1.20 ล้านไร่ เกษตรกร 139,888 ราย แบ่งเป็น ข้าว 1.14 ล้านไร่ พืชไร่-พืชสวนและอื่น ๆ 60,000 ไร่ และพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเสียหาย 3,686 ไร่ กระชัง 1,628 ตารางเมตร สัตว์ตายหรือสูญหาย 44,798 ตัว
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ผลจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนปีนี้ ทำให้รอบระยะเวลาการเพาะปลูกทางการเกษตรไม่เป็นไปตามฤดูกาลกระทบต่อปริมาณผลผลิต รายได้ลดลงจนอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพและนำไปสู่การก่อหนี้สินเพิ่มขึ้น จึงต้องช่วยเหลือเยียวยาเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพการเกษตรได้ทันทีหลังน้ำลด กระทรวงเกษตรฯ จึงจัดทำแผนช่วยเหลือขึ้น 5 โครงการ กรอบวงเงิน 3,766.753 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเขียว เกษตรกรเป้าหมาย 150,000 ครัวเรือน พื้นที่ 1.4 ล้านไร่ โดยสนับสนุนเป็นเงินโอนเข้าบัญชีเกษตรกรเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ ให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง รายละไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 844.074 ล้านบาท
2.โครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวปี 2563/2564 เกษตรกรเป้าหมาย 827,000 ครัวเรือน เมล็ดพันธุ์ข้าว 63,200 ตัน พื้นที่ 6.32 ล้านไร่ โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรไร่ละ 10 กิโลกรัม ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ วงเงิน 1,739.429 ล้านบาท ทั้งนี้ จะจัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวกลุ่มไม่ไวแสงให้ช่วงเดือนกลางเดือนพฤศจิกายน – กลางเดือนธันวาคม 2562 ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกลุ่มข้าวไวแสงจะจัดส่งในฤดูกาลเพาะปลูกหน้า ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2563
3. โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมงเป็นการเลี้ยงปลานิลในบ่อดิน เกษตรกรเป้าหมาย 50,000 ราย พื้นที่ 50,000 ไร่ โดยสนับสนุนพันธุ์ปลารายละ 800 ตัว และอาหารสัตว์น้ำ 120 กิโลกรัม วงเงิน 260 ล้านบาท 4. โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน ซึ่งกรมประมงจะปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามในแหล่งน้ำชุมชนขนาดกลางหรือขนาดเล็ก 1,935 แห่ง ในพื้นที่ 129 อำเภอ จำนวน 200,000 ตัวต่อแห่ง วงเงิน 683.250 ล้านบาท 5. โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีกโดยมีเกษตรกรเป้าหมาย 48,000 ครัวเรือนซึ่งจะสนับสนุนเป็นเงินโอนเข้าบัญชีเกษตรกรเพื่อซื้อพันธุ์ไก่ไข่และเป็ดไข่ ครัวเรือนละ 10 ตัว ไก่พื้นเมืองคละเพศครัวเรือนละ 30 ตัว พร้อมค่าอาหารและค่าวัสดุในการเลี้ยง วงเงิน 240.000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะเสนอแผนปฏิบัติการส่งเสริมอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่องแก่เกษตรกรที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติซ้ำซากและและความผันผวนทางเศรษฐกิจให้รายได้ไม่เพียงพอเลี้ยงชีพ โดยเกษตรกรรายย่อยขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ฟื้นฟูหรือปรับเปลี่ยนอาชีพตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ 2 โครงการ กรอบวงเงิน 1,634.14 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตและการกระจายเมล็ดพันธุ์ โดยส่งเสริมให้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เกษตรกรมีเป้าหมาย 200,000 ครัวเรือน พื้นที่ 50,000 ไร่ เมล็ดพันธุ์ 45,000 ตัน วงเงิน 562.19 ล้านบาท และผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว เกษตรกรมีเป้าหมาย 10,500 ครัวเรือน พื้นที่ 5,000 ไร่ เมล็ดพันธุ์ 500 ตัน วงเงิน 23.50 ล้านบาท
2. โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ การเลี้ยงโคขุน เกษตรกรมีเป้าหมาย 100,000 ราย พันธุ์โคเนื้อ 500,000 ตัว โดยเกษตรกรกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาซื้อโคขุนรายละไม่เกิน 5 ตัวและสนับสนุนการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ซึ่งเกษตรกรจ่ายร้อยละ 30 รัฐสมทบร้อยละ 70 รวมทั้งค่าเบี้ยประกันภัย วงเงิน 706.750 ล้านบาท การส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อสร้างอาชีพ ระยะที่ 3 มีเป้าหมาย เกษตรกรเป้าหมาย 10,000 ราย พันธุ์โคเนื้อ 50,000 ตัว โดยให้องค์กรเกษตรกรกู้ยืมเพื่อจัดหาปัจจัยให้แก่เกษตรกร รายละไม่เกิน 250,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 รัฐบาลสนับสนุนร้อยละ 3 และเกษตรกรสบทบร้อยละ 1 วงเงิน 110.500 ล้านบาท
การพัฒนาศักยภาพตลาดนัดโค-กระบือ เกษตรกรเป้าหมาย 2,430 ราย โดยสนับสนุนเงินกู้สำหรับพัฒนาตลาดเข้าสู่มาตรฐาน 30 แห่ง จากทั้งหมด 118 แห่ง แห่งละไม่เกิน 3 ล้านบาท และสนับสนุนเงินกู้ให้แก่ผู้ค้าโค-กระบือ รายละไม่เกิน 200,000 บาท วงเงิน 17.100 ล้านบาท การเพิ่มปริมาณการผลิตโคเนื้อพันธุ์ดี เกษตรกรเป้าหมาย 10,000 ราย พันธุ์โค 1,008 ตัว โดยซื้อโคเนื้อพันธุ์ชาร์เบรย์ซึ่งเป็นลูกผสมพันธุ์ชาโรเล่ส์กับบราห์มัน โดยนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นเพศเมีย 1,000 ตัว เพศผู้ 8 ตัว พร้อม ทั้งสนับสนุนค่าเครื่องจักรกลการเกษตร โรงเรือน วัสดุอุปกรณ์ วงเงิน 196.10 ล้านบาท การก่อสร้างศูนย์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์โดยกรมปศุสัตว์จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และการส่งเสริมการเลี้ยงแพะเนื้อสร้างอาชีพ เกษตรกรเป้าหมาย 5,000 ราย โดยเกษตรกรกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ซื้อแพะพ่อแม่พันธุ์รายละไม่เกิน 21 ตัวและแพะขุนรายละ 55 ตัว อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 รัฐบาลสนับสนุนร้อยละ 3 เกษตรกรสบทบร้อยละ 1 วงเงิน 18 ล้านบาท
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563 โดยขอให้ ครม. อนุมัติหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งใช้งบประมาณจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 รวมทั้งสิ้น 5,400.893 ล้านบาท
“แผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยาฯ และแผนส่งเสริมอาชีพนี้จะช่วยให้เกษตรกรประกอบอาชีพได้ทันทีหลังน้ำลด ส่วนจะส่งเสริมให้ทำการเกษตรฯ ใดนั้น พิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่และปริมาณน้ำต้นทุนให้เหมาะสม โดยฤดูแล้ง 2562/2563 บางพื้นที่มีน้ำจำกัด จึงให้ปลูกข้าวโพดและถั่ว รวมถึงเลี้ยงสัตว์ ซึ่งใช้น้ำน้อยเชื่อมโยงแหล่งผลิตกับแหล่งรับซื้อ เพื่อจะได้ขายผลผลิตได้แน่นอน ที่สำคัญ คือ พันธุ์สัตว์และสัตว์น้ำที่แจกจ่ายกำหนดอายุให้สามารถจำหน่ายได้ภายใน 2 – 4 เดือน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เร็วที่สุดและมีรายได้ต่อเนื่องจนกว่าจะถึงฤดูกาลเพาะปลูกหน้าเดือนพฤษภาคม 2563” นายเฉลิมชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย