กรุงเทพฯ 26 ส.ค. – สบน.ชี้แจงข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาล ยืนยันรัฐทำตามกฎหมาย เพื่อการลงทุนและก่อให้เกิดรายได้กลับคืนประเทศ
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวถึงประเด็นข้อกังวลต่อการเตรียมกู้เงินของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อภาระหนี้และการบริหารจัดการในอนาคต ว่า เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา รัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันจึงจัดทำนโยบายการคลังแบบขยายตัว ผ่านการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนในปัจจุบัน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง การดำเนินนโยบายของรัฐบาลจึงจำเป็นต้องสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจ โดยมุ่งการลงทุนเพื่อการพัฒนา สร้างรายได้ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และเพิ่มศักยภาพของภาคเอกชนในการลงทุนและการจ้างงาน
ทั้งนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐกำหนดให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจะต้องใช้เพื่อการลงทุนเท่านั้น ซึ่งการลงทุนที่ผ่านมาล้วนแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา ตัวอย่างโครงการลงทุนสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย รวมทั้งโครงการพัฒนาเชิงสังคม เช่น โครงการพัฒนาระบบชลประทาน พัฒนาด้านการศึกษา และพัฒนาด้านสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคทั่วประเทศ นั่นหมายถึงว่าเงินกู้ทุกบาทของรัฐบาลก่อให้เกิดรายได้กลับคืนมายังประเทศ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วยเช่นกัน เห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2557-2561 ที่ผ่านมา GDP และรายได้ของรัฐบาลมีการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ
นายภูมิศักดิ์ กล่าวว่า พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้มีกรอบวินัยการเงินการคลัง โดยมีการกำหนดสัดส่วนทางการเงินการคลังต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะอย่างชัดเจน รวมถึงสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระหนี้เพื่อเพิ่มวินัยการชำระคืนต้นเงิน สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ และ สบน.กำหนดกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลางเพื่อกำกับติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงเพิ่มารวิเคราะห์สัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ธนาคารโลกแนะนำและใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีความสามารถในการชำระหนี้ทั้งปัจจุบันและระยะปานกลาง
นอกจากนี้ การประเมินขององค์กรระหว่างประเทศและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับประเทศยืนยันฐานะการคลังที่มั่นคงของไทยในปัจจุบันและความสามารถในการชำระหนี้ที่อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่ากลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกัน และจากการประมาณการเศรษฐกิจของกระทรวงการคลังระยะปานกลางและระยะยาว การลงทุนของรัฐบาลจะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจสะท้อนได้จากการเติบโตของ GDP การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น การขาดดุลงบประมาณที่ลดลงในอนาคต และระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ต่ำลงและไม่เกินร้อยละ 50 รวมทั้งภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ.-สำนักข่าวไทย