พรรคอนาคตใหม่ 21 มิ.ย.- “ปิยบุตร” ย้ำกรณีส.ส.รัฐบาลถือหุ้นสื่อ ต้องการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ขอให้มีมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกัน
ที่อาคารไทยซัมมิท นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่พรรคอนาคตใหม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้วินิจฉัยกรณี 41 ส.ส.พรรครัฐบาลถือหุ้นสื่อ ถือว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือไม่ ว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญอยู่ในขณะนี้มีสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือเกณฑ์ในการพิจารณาดูว่ามีการถือหุ้นสื่อจริงหรือไม่ และเรื่องที่สอง คือจะมีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวหรือไม่
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เรื่องแรก คือเกณฑ์ในการพิจารณาดูว่ามีการถือหุ้นสื่อจริงหรือไม่ เคยมีแนวทางคำพิพากษาศาลฎีกาออกมาแล้วในสองคดีหลัก ๆ คือ คดีของอดีตผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสกลนคร พรรคอนาคตใหม่ นายภูเบศวร์ เห็นหลอด และอดีตผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดอ่างทอง พรรคประชาชาติ นายคมสัน ศรีวนิชย์ ซึ่งทั้งสองคดีนี้ศาลได้ให้แนวทางมาแล้ว ว่าให้ไปดูที่หนังสือบริคณห์สนธิ โดยถ้ามีข้อความระบุว่าทำกิจการที่เกี่ยวกับสื่อวลชน ก็ให้ถือว่าบริษัทนั้นประกอบกิจการสื่อจริง
นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่สอง จะมีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวหรือไม่ กรณีที่เกิดขึ้นกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว โดยระบุว่าหากปล่อยให้ปฏิบติหน้าที่ต่อไป จะส่งผลให้เกิดปัญหาทางกฎหมายและการดำเนินงานที่สำคัญในการประชุมสภา
นายปิยบุตร กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ มีการโต้แย้งในหลายประเด็นว่ากรณีของนายธนาธรไม่เหมือนกันกับกรณีของ 41 ส.ส. ซึ่งตนก็เชื่อว่ามีความไม่เหมือนกันจริง ๆ เพราะกรณีของนายธนาธร มีการโอนหุ้นหมดแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 เพราะฉะนั้นในวันสมัครรับเลือกตั้ง นายธนาธรไม่มีชื่ออยู่ในการถือหุ้นสื่ออะไรอีกเลย แต่ทาง 41 ส.ส.นั้น ในวันที่รับสมัครยังคงถือหุ้นสื่ออยู่ เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนถือหุ้นอยู่จริงโดยไม่มีการโต้แย้งในเรื่องนี้
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ 27 ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐไปยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญคุ้มครองชั่วคราว โดยอ้างว่าหากหยุดปฏิบัติหน้าที่จะกระทบกับการทำหน้าที่สำคัญ ว่า ตนก็ต้องตั้งคำถามว่ากรณีของนายธนาธร ศาลมีการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยเหตุผลว่าอาจกระทบกับการดำเนินงานที่สำคัญ แล้วจะเอาเหตุผลว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญอยู่มาอ้างได้อย่างไร ตกลงแล้วจะใช้มาตรฐานไหนกันแน่
“กระบวนการตอนนี้ศาลยังไม่พูดอะไรซักแอะ แต่คุณส่งไปแล้วว่าขอให้คุ้มครองชั่วคราว คุณไปร้องก่อนล่วงหน้า แล้วไปร้องโดยไม่มีช่องทางให้ร้องด้วย แต่สุดท้ายหากกรณีของพรรคพลังประชารัฐได้รับการคุ้มครองชั่วคราวแบบนี้ขึ้นมา ทางพรรคอนาคตใหม่และนายธนาธรก็จะขอสงวนสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวด้วย แต่เบื้องต้นตอนนี้เราขอยืนยันว่าช่องทางนี้ไม่มี แต่ถ้าสุดท้ายศาลให้เมื่อไหร่เราจะขอด้วยแน่” นายปิยบุตร กล่าว
ส่วนการขอให้ศาลเปิดการไต่สวนสองครั้งนั้น นายปิยบุตร กล่าวว่า ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดเอาไว้เลยว่าศาลต้องเปิดการไต่สวนในขั้นตอนการรับคำร้อง รวมถึงในขั้นตอนวินิจฉัยว่าจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ มาตรา 49 ระบุไว้ว่าศาลอาจจะตั้งองค์คณะเล็กขึ้นมาพิจารณาหรือร่วมกันพิจารณาโดยองค์คณะใหญ่เองก็ได้ ซึ่งตอนนี้ตนก็ไม่รู้ว่าขั้นตอนอยู่ตรงไหนแล้ว หากใช้องค์คณะใหญ่ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าเกินช่วงเวลา 5 วันมาแล้ว และสุดท้ายหากศาลอนุญาตให้ 41 ส.ส.เข้าชี้แจงก่อนวินิจฉัยว่าจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ตนก็ต้องถามกลับไปว่าแล้วทำไมกรณีของนายธนาธร ไม่มีการเปิดโอกาสให้ชี้แจงในลักษณะเดียวกันบ้าง
นายปิยบุตร กล่าวว่า การแถลงข่าวในวันนี้ ไม่ได้ต้องการตั้งคำถามถึงองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องการตั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย เราขอเพียงอย่างเดียวว่าขอให้มีมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมแบบเดียวกัน กรณีที่เหมือนกันต้องได้รับการปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน
“อำนาจขององค์กรทั้งหลายที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมตั้งอยู่บนกฎหมายว่าแต่ละองค์กรมีอำนาจใด และมีกฎหมายห้ามละเมิด ห้ามหมิ่นเจ้าหนักงาน ห้ามละเมิดศาล แต่กฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีศรัทธาจากพี่น้องประชาชน ของสาธารณชนต่างหาก ร่วมกันประเมินตัดสินว่ายุติธรรมจริงหรือไม่ ถ้าหากคุณจะทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นมา ทำให้คนทั้งประเทศเชื่อมั่นว่ายุติธรรมจริงหรือไม่ คุณก็ต้องทำให้คดีที่มีลักษณะเดียวกันได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานเดียวกัน” นายปิยบุตร กล่าว.-สำนักข่าวไทย