กรุงเทพฯ 1 เม.ย. – กรมสรรพากรเปิดตัวระบบลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิ์ยกเว้นเบี้ยปรับสำหรับเอสเอ็มอี หนุนจัดทำบัญชีเล่มเดียว
หลังจากพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญาเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัฐฎากร พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 วันนี้ (1 เม.ย.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดตัวระบบลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิ์สำหรับเอสเอ็มอี เพื่อได้รับสิทธิ์ดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ยกเว้นเบี้ยปรับฯ ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 มิถุนายนนี้
นายเอกนิติ กล่าวว่า พ.ร.บ.ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากรและความรับผิดทางอาญาฯ ถือเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วสำหรับผู้ที่ไม่มีเจตนาทำบัญชีและเสียภาษีไม่ถูกต้องได้ปรับปรุงบัญชีกิจการที่ถูกต้องและสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการ ซึ่งกรมสรรพากรเปิดให้เฉพาะเอสเอ็มอีเท่านั้น ไม่เปิดโอกาสนี้ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ การปรับปรุงบัญชีของเอสเอ็มอีครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางบัญชีที่จะนำไปสู่การจัดทำบัญชีเล่มเดียว เพราะกรมสรรพากรเชื่อว่าไม่มีผู้เจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษี
อธิบดีกรมสรรพากร ย้ำว่า การออก พ.ร.บ.ยกเว้นเบี้ยปรับฯ ครั้งนี้ไม่ใช่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ต้องเสียภาษี คนไทยที่มีรายได้พึงประเมิน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่ถูกต้องครบถ้วน หากเอสเอ็มอีปรับปรุงบัญชีให้ถูกต้องและมีบัญชีเพียงเล่มเดียวจะเป็นประโยชน์ เพราะบัญชีเปรียบได้กับ “ปรอท” ที่วัดสถานะของกิจการได้ และบัญชีเดียวที่ถูกต้องยังเป็นประโยชน์ในการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้มาแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2562
นายเอกนิติ กล่าวว่า หลังจากนี้ไปกรมสรรพากรจะใช้ระบบ AI ที่เรียกว่า Risk Base Audit System (RBA) เข้ามาตรวจสอบการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ต่อไป เป็นการแยกคนดี และไม่ดีออกจากกัน ส่วน พ.ร.บ.อีเพย์เมนท์ที่ออกมานั้น ทำให้สามารถทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับกรมสรรพากรถูกกฎหมายสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมีเอสเอ็มอีในระบบภาษี 460,000 ราย กรมสรรพากรไม่คาดหวังเชิงจำนวนผู้ที่จะมาลงทะเบียนมาก และไม่คาดหวังว่าจะมีรายได้เพิ่มจากกรณีนี้ สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในรอบ 6 เดือนปีงบประมาณ 2562 ตั้งแต่ตุลาคม 2561 ถึงเดือนมีนาคม 2562 กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้เกินเป้าหมายกว่า 30,000 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย