กรุงเทพฯ 27 ธ.ค. – ศูนย์วิจัยฯ ออมสินเผยผลสำรวจปีใหม่ พบประชาชนฐานรากใช้จ่ายกว่า 30,000 ล้านบาท เฉลี่ยต่อคน 2,150 บาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานรากได้ทำการสำรวจการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาททั่วประเทศ 2,150 ตัวอย่าง พบว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของประชาชนฐานรากในช่วงเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 30,200 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 2,150 บาทลดลงจากปีก่อน เนื่องจากประชาชนฐานรากต้องการออมเงินเพิ่มขึ้น และระมัดระวังการใช้จ่าย
เมื่อสำรวจลักษณะการทำกิจกรรม และการจับจ่ายใช้สอยเฉลี่ยต่อคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พบว่า กิจกรรม 3 อันดับแรกที่ประชาชนฐานรากนิยม คือ สังสรรค์ เลี้ยงฉลอง ร้อยละ 54.0 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,100 บาท ทำบุญ/ ไหว้พระ/สวดมนต์ และให้เงินคนในครอบครัวร้อยละ 53.4 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 450 บาท และ 2,000 บาท ตามลำดับ และซื้อของขวัญ/ของฝาก ร้อยละ 45 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,300 บาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนแต่ละกิจกรรมกับปีก่อน พบว่า กิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวในการสังสรรค์ เลี้ยงฉลองให้เงินคนในครอบครัว และกลับภูมิลำเนา/เยี่ยมญาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ขณะที่วงเงินใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีก่อน
สำหรับสถานที่ซื้อและบุคคลที่ต้องการให้ของขวัญของฝาก พบว่า สถานที่ซื้อ 3 อันดับแรก คือ ห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 45 ตลาด/ร้านค้าทั่วไป ร้อยละ 35.5 และร้านสะดวกซื้อ ร้อยละ 22.5 อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการเลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ถือเป็นช่องทางที่เริ่มเข้ามามีบทบาทที่น่าสนใจของคนฐานราก โดยการสั่งซื้อที่ได้รับความนิยม คือ Lazada Shopee และ Facebook ส่วนบุคคลที่ต้องการให้ของขวัญ คือ คนในครอบครัว ร้อยละ 88.8 ผู้ใหญ่ที่เคารพ ร้อยละ 37.9 ตนเอง ร้อยละ 36.2 เพื่อน ร้อยละ 10.6 และคู่รัก/แฟน ร้อยละ 6.8 และเมื่อสอบถามถึงเป้าหมายที่จะทำในปีใหม่นี้ พบว่า ประชาชนฐานรากตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีขึ้น โดยจะออมเงิน ร้อยละ 66.3 ลดรายจ่าย ร้อยละ 47.2 และดูแลสุขภาพ เช่น ออกกำลังกาย เลิกเหล้า/บุหรี่ ร้อยละ 42.4
ส่วนสิ่งที่ประชาชนฐานรากต้องการจากรัฐบาลเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 พบว่า 3 อันดับแรก คือ ลดค่าครองชีพ ร้อยละ 60.3 ลดราคาค่าเชื้อเพลิง ร้อยละ 53.7 และให้มีการเลือกตั้ง ร้อยละ 33.7.-สำนักข่าวไทย