ศูนย์ประสานงานหนองจอก 22 ธ.ค.-เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแจงระดมทุนซื้อโต๊ะจีนโปร่งใส ตรวจสอบได้ ชี้ข้าราชการเป็นผู้ร่วมงานได้ตามสิทธิ ไม่เกี่ยวกับพรรค ส่วนการเสนอชื่อนายกฯ คนใหม่ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกพรรค
ภายหลังการปราศรัยและเปิดศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐเขตหนองจอกเสร็จสิ้น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงษ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ ขออาสาเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งวันนี้พรรคมาเปิดศูนย์ประสานงานที่หนองจอก เพราะให้ความสำคัญกับการตั้งศูนย์ประสานงานพรรค และคาดว่าจะได้เสียงในพื้นที่
นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงกรณีการจัดการระดมทุนของพรรค ว่าเป็นไปตามข้อกฎหมาย ตามรัฐธรรม อย่างโปร่งใส และพร้อมให้ กกต. ตรวจสอบได้ จึงไม่อยากให้มีการหยิบยกเรื่องนี้ นำไปเป็นวาทะกรรมสร้างความขัดแย้ง เพราะการระดมทุนเป็นเรื่องปกติ ในการดำเนินการกิจกรรมของพรรค ทั้งนี้ยืนยันว่า การที่มีข้าราชการ จากหน่วยงานของรัฐเข้าร่วมงาน เป็นสิทธิ์ ตามกฎหมาย ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เนื่องจากไม่มีการใช้ตำแหน่งหน้าที่มาทำกิจกรรม แต่เป็นผู้ร่วมงานตามปกติ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้
นายสนธิรัตน์ ชี้แจงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐไม่ได้เข้าร่วมลงนามสัญญาประชาชนร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ที่จัดขึ้นโดยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล วานนี้ (21ธค.) ว่า เนื่องจากได้รับการประสานในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด จึงไม่ได้นำเข้าหารือในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค แต่ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ขัดข้องหรือติดใจในเนื้อหาของสัญญาประชาชน ที่มีการลงนาม
พร้อมกันนี้นายสนธิรัตน์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรพลังชารัฐ ระบุว่า หากประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ คือการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น เห็นว่า ถือเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งความชัดเจนในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามบัญชีของพรรค จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุม กรรมการบริหารพรรค ซึ่งยังไม่สามารถบอกกรอบเวลาที่เลือกได้ในเวลานี้
ทั้งนี้ นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า การจัดการระดมทุนของพรรคเป็นไปตามข้อกฎหมาย ตามรัฐธรรม อย่างโปร่งใส และพร้อมให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบได้ จึงไม่อยากให้มีการหยิบยกเรื่องนี้ นำไปเป็นวาทกรรมสร้างความขัดแย้ง เพราะการระดมทุนเป็นเรื่องปกติ ในการดำเนินการกิจกรรมของพรรค ทั้งนี้ยืนยันว่า การที่มีข้าราชการ จากหน่วยงานของรัฐเข้าร่วมงาน เป็นสิทธิ์ ตามกฎหมาย ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เนื่องจากไม่มีการใช้ตำแหน่งหน้าที่มาทำกิจกรรม แต่เป็นผู้ร่วมงานตามปกติ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้
นายสนธิรัตน์ ยังกล่าวชี้แจงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้เข้าร่วมลงนามสัญญาประชาชนร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ที่จัดขึ้นโดยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.) ว่า เนื่องจากได้รับการประสานในช่วงเวลาที่กระชั้นชิด จึงไม่ได้นำเข้าหารือในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค แต่ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ขัดข้องหรือติดใจในเนื้อหาของสัญญาประชาชนที่มีการลงนาม
พร้อมกันนี้นายสนธิรัตน์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรพลังประชารัฐ ระบุว่า หากประชาชนเลือกพรรคพลังประชารัฐ คือการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น ว่าถือเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งความชัดเจนในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามบัญชีของพรรค จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ซึ่งยังไม่สามารถบอกกรอบเวลาที่เลือกได้ในเวลานี้
ด้านนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีการระดมทุนด้วยการจัดโต๊ะจีน โต๊ะละสามล้านบาท ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ว่าอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่บริจาคเงินเข้ามาว่า เป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่ แม้ว่าคนไทยบริจาคแต่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ พรรคก็ไม่สามารถรับเงินบริจาคได้ ซึ่งการตรวจสอบจะใช้เวลาก่อนที่กฎหมายกำหนด 30 วัน พร้อมยืนยันได้ว่าทุกหน่วยงานที่บริจาคมีใบเสร็จตรวจสอบได้ทุกราย พร้อมทั้งเปิดเผยว่าจากการตรวจสอบ ไม่พบว่ามีหน่วยงานของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนจอที่แสดงผังที่นั่งบริเวณหน้างานที่มีบางสำนักข่าวอ้างอิงว่ามีหน่วยงานรัฐเข้าร่วมงานด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ เนื่องจากมีผู้เข้างานกว่า 2 พันคน ที่ไม่สามารถชี้แจงได้ทั้งหมดว่าเจ้าหน้าที่รัฐมาจำนวนเท่าใด โดยขอให้สื่อตรวจสอบต่อไปว่าจริงหรือไม่ พร้อมทั้งพรรคขอยืนยันว่า พรรคยึดมั่นในความโปร่งใส และเป็นพรรคแรกๆที่ดำเนินการจัดระดมทุน.-สำนักข่าวไทย