สำนักข่าวไทย 20 พย. อาจารย์คณะเภสัชฯ ม.ขอนแก่น ระบุ อย.ไม่ควรเปลี่ยนประเภทยาลดอาการแพ้ ลอราทาดีน เพราะเป็นยาที่มีข้อควรระวังในการใช้หลายข้อ รวมทั้งการวินิจฉัยอาการเพื่อใช้ยาก็ซับซ้อนเกินกว่าประชาชนทั่วไปจะทำได้
รศ.ภญ.ดร.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปลี่ยนประเภทยาลอราทาดีน (Loratadine) ซึ่งเป็นยาลดอาการแพ้ จากเดิมที่เป็นยาอันตราย จ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกร เป็นยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ ซึ่งมีผลให้สามารถซื้อหาได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา ว่า ก่อนหน้านี้ทาง อย.ได้จัดรับฟังความคิดเห็น และทางสภาเภสัชกรรมได้ทำข้อคิดเห็นคัดค้านการเปลี่ยนประเภทยาดังกล่าวและเห็นว่าควรจัดให้อยู่ในกลุ่มยาอันตรายเหมือนเดิม เนื่องจากเป็นยาที่มีข้อควรระวังในการใช้ และการวินิจฉัยอาการก่อนใช้ยามีความซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะวินิจฉัยเองได้
“ในส่วนของข้อควรระวังในการใช้นั้น ไม่ควรใช้ยาลอราทาดีนในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับ ไต หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร และควรระวังกรณีใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพบางชนิด ยาต้านเชื้อรา ยาโรคหัวใจ เนื่องจากเกิด drug interaction หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่ายาตีกัน กล่าวคือถ้าใช้ร่วมกับยาตัวอื่นอาจส่งผลให้ยาตัวอื่นหรือตัวมันเองออกฤทธิ์ได้มากขึ้นหรือน้อยลง”
รศ.ภญ.ดร.นุศราพร กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการวินิจฉัยว่าผู้ซื้อยาที่เป็นผู้ป่วยอยู่ในภาวะมีน้ำมูกเนื่องจากการแพ้หรือไม่ และควรใช้ยายาลอราทาดีนหรือไม่นั้น การวินิจฉัยก็มีความซับซ้อน เช่น ดูว่าจามหรือไม่ น้ำมูกใสหรือไม่ มีอาการคัน คัดจมูกหรือไม่ มีอาการมากขึ้นในช่วงกลางคืนหรือไม่ กลางคืนต้องหายใจทางปากหรือไม่ เหนื่อยง่ายหรือไม่ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้มีเยอะมาก ประชาชนทั่วไปน่าจะวินิจฉัยเองไม่ได้
รศ.ภญ.ดร.นุศราพร กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวโน้มการเปลี่ยนประเภทยาเพื่อให้ประชาชนใช้ยาด้วยตนเองได้ง่ายขึ้น เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก มาตรการนี้เพิ่มการเข้าถึงยา ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงด้านยากับประชาชน แต่กลับเพิ่มยอดขายกับบริษัทยาเจ้าของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญว่าประเทศไทยจะมีมาตรการในการออกแบบกลไกการพิจารณาประเภทยาเพื่อที่จะคุ้มครองให้ประชาชนใช้ยาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร .-สำนักข่าวไทย