อสมท 12 พ.ย.-“ทนายอัจฉริยะ” ระบุกรณีสาวถูกสาดน้ำกรด หากโรงพยาบาลจะให้ไปรักษาที่อื่น ต้องมีหน้าที่ประสานส่งต่อ และอีกประเด็นสำคัญคือเหตุใดจึงไม่มีแพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ เตรียมยื่นหนังสือเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เอาผิดทั้งโรงพยาบาล แพทย์ และพยาบาล พร้อมฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท โดยช่วงบ่ายวันนี้จะไปร่วมสังเกตการณ์การทำแผนฯ ของผู้ต้องหาที่ก่อเหตุสาดน้ำกรดด้วย
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์ในรายการ “เช้าชวนคุย” ถึงกรณีนำลูกสาวและญาติ พร้อมศพ นางช่อลัดดา หญิงสาวซึ่งเสียชีวิตจากการถูกสามีสาดน้ำกรด มาเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องที่ปฏิเสธการรักษาออกมาแสดงความรับผิดชอบ โดยมี ผอ.โรงพยาบาลพระราม 2 พร้อมแพทย์ที่ปรึกษาประจำโรงพยาบาล ชี้แจงต่อหน้าสื่อมวลชน โดยระหว่างเจรจามีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
เบื้องต้นโรงพยาบาลพระราม 2 ชี้แจงว่า ผู้ตายและลูกสาวได้เดินทางมาโรงพยาบาลช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. ทางประตูด้านหลังของห้องฉุกเฉิน ด้วยสภาพร่างกายเต็มไปด้วยคราบสีขาวของยาสีฟัน จากนั้นพยาบาลเวรจึงทำการสอบถามอาการเบื้องต้น ผู้ตายยังมีสติ สามารถโต้ตอบได้ และบอกว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อน พยาบาลจึงรักษาปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมประเมินสภาพบาดแผลมาจากสารเคมี ระดับ 1 ตรวจวัดความดันอยู่ในระดับปกติ พร้อมประเมินว่าอาการลักษณะนี้ยังไม่สาหัส นอกจากนี้ ผู้ตายมีสิทธิในการรักรักษาพยาบาลอยู่ที่ รพ.บางมด ซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่หากต้องการรักษาต่อที่ รพ.พระราม 2 แห่งนี้ต้องเสียค่าส่วนต่างในการรักษา ทำให้ผู้ตายประสงค์เดินทางไปรักษาต่อยัง รพ.บางมด เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันนำตัวคนเจ็บส่งยังจุดขึ้นแท็กซี่บริเวณหน้าโรงพยาบาล พร้อมกับให้เงินสดจำนวน 40 บาท แก่ลูกสาวเพื่อใช้ในการเดินทาง และขอยืนยันว่าผู้ตายไม่ได้เสียชีวิตบนแท็กซี่ขณะเดินทางไปรักษาต่อ แต่ได้เสียชีวิตขณะที่อยู่โรงพยาบาลบางมดแล้ว
นายอัจฉริยะ เผยจากคำบอกเล่าของ “น้องเตเต้” ลูกสาววัย 12 ปี ของผู้เสียชีวิต ซึ่งตรงกับที่ให้การกับ สน.ท่าข้าม ระบุแม่ตนเองอาการหนัก แท็กซี่คันแรกก็เห็นว่าอาการหนัก จึงนำมาส่งที่โรงพยาบาลพระราม 2 ก่อน เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล พยาบาลก็ทำแผล แต่ไม่มีแพทย์มาเป็นผู้วินิจฉัย หรือเอกซเรย์อวัยวะภายใน และให้เด็กพาแม่ไปโรงพยาบาลบางมด ตามบัตรประกันสังคม ก่อนให้เงินน้องเป็นค่าแท็กซี่เพิ่ม และไปเรียกแท็กซี่ให้ ประเด็นสำคัญทำไมถึงไม่มีแพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ และหากจะให้ไปรักษาที่อื่นตามสิทธิ ต้องมีหน้าที่ประสานให้โรงพยาบาลบางมด นำรถมารับ-ส่ง ไม่ใช่ให้คนไข้นั่งแท็กซี่ไปเอง ซึ่งในขณะนั้นน้องบอกว่า คุณแม่อาเจียน และทนบาดแผลไม่ไหวแล้ว แต่พยาบาลให้คนอุ้มขึ้นรถเข็นไปขึ้นรถแท็กซี่ และอีกประเด็นคือ โรงพยาบาลบางมดยืนยันว่า นางช่อลัดดา เสียชีวิตในรถแท็กซี่คันที่ 2 ไม่ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า วันนี้จะทำหนังสือถึงอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้ดำเนินคดีกับเจ้าของโรงพยาบาล ตามมาตรา 34, 35 และ 36 สถานพยาบาล ฉบับที่ 2 ทำหนังสือถึงสภาการพยาบาลให้ดำเนินคดีกับพยาบาล ฉบับที่ 3 ทำหนังสือถึงแพทยสภาให้ดำเนินคดีกับคุณหมอผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และฉบับที่ 4 ให้ดำเนินคดีกับผู้บริหารโรงพยาบาล ตามมาตรา 34 สถานพยาบาล พร้อมจะฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ จะย้อนตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังของโรงพยาบาล และทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ กทม. ขอให้ตรวจสอบอาคารโรงพยาบาลว่าได้ขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ โดยบ่ายวันนี้จะไปร่วมสังเกตการณ์การทำแผนประกอบคำรับสารภาพของผู้ต้องหาที่ก่อเหตุสาดน้ำกรดด้วย ส่วนร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว และวันนี้จะผ่าพิสูจน์ศพที่โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง ก่อนให้ครอบครัวรับไปบำเพ็ญกุศลต่อไป.-สำนักข่าวไทย