กระทรวงการคลัง 25 ต.ค. – รองนายกรัฐมนตรีเตรียมทุ่มแสนล้านดูแลคนชราผ่านบัตรสวัสดิการฯ สั่งคลังร่วม ททท. หลายหน่วยงาน กระตุ้นท่องเที่ยวปลายปี ยืนยันเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง ต่างชาติเชื่อมั่น ตลาดหุ้นไทยยังเป็นแหล่งลงทุนปลอดภัย แม้ดัชนีหุ้นปรับลดลงบ้าง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมมอบนโยบายผู้บริหารกระทรวงการคลัง สั่งการให้กรมบัญชีกลางจัดเตรียมงบประมาณปี 2562 ส่งเข้ากองทุนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 100,000 ล้านบาท จากเดิมมีอยู่ 50,000 ล้านบาท เน้นนำไปช่วยเหลือดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ คาดว่าแนวทางการช่วยเหลือเพิ่มเติมจะสรุปได้เร็ว ๆ นี้ และต้องออกมาตรการจูงใจให้ลูกหลานดูแลคนชรามากขึ้น หลังจากที่ผ่านมาได้นำเงินจากกองทุนผู้สูงอายุไปเพิ่มเป็นเงินสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้สูงอายุที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี รัฐบาลเติมเงินให้เดือนละ 100 บาท ส่วนผู้สูงอายุที่มีรายได้ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เติมให้เดือนละ 50 บาททุกเดือน การช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุเพื่อต้องการให้ดูแลตนเองได้ ยอมรับว่าคนรุ่นใหม่ขาดความสนใจดูแลพ่อ แม่ ผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ สั่งการให้กระทรวงการคลังร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน เพื่อร่วมกันออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวโค้งสุดท้ายปลายปีในช่วง 2 เดือนที่เหลือ พศจิกายน-ธันวาคมนี้ เพื่อออก 3 มาตรการดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งอาเซียน และชาติอื่น แต่งานนี้ขอเน้นจีนเป็นหลัก เพื่อดึงรายได้กลับเข้าไทย ด้าน ททท.เตรียมจับมือกับพันธมิตรร่วมจัดงานไทยแลนด์แกรนด์เซลล์ในหัวเมืองใหญ่ ใกล้ชายแดน ลดราคาสินค้าพิเศษ และออกไปร่วมงานนานาชาติ นายสมคิด ยังเตรียมเดินทางไปจีนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อแนะนำการลงทุนและการท่องเที่ยว และยังเตรียมยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าผ่านช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival :VOA) 21 ประเทศ 2,000 บาทต่อราย และการเดินทางเข้า-ออก 2 ครั้ง ภายใน 180 วัน ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้รายงานที่ประชุมหลังจากขายหน่วยลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ให้กับนักลงทุนรายย่อย นับว่าได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน เพราะแนวโน้มการเติบโตจากรายได้ที่เกิดจากทางพิเศษฉลองรัชและบูรพาวิถีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ส่งผลให้มูลค่าการเสนอขาย 44,700 ล้านบาท หรือเท่ากับ 4,470 ล้านหน่วย และพร้อมนำหน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันที่ 31 ตุลาคมนี้ นับว่าประชาชนรายย่อยให้ตอบรับ แม้จะใช้เวลาเตรียมการล่าช้ามาถึง 3 ปี แต่เมื่อเปิดขายแห่จองกันเพียบ จึงได้มอบหมายให้ สคร.เร่งผลักดันโครงการใหม่ (กรีนฟิวล์) ที่มีแผนก่อสร้าง เพื่อใช้แนวทางระดมทุนจากรายย่อยและในประเทศรองรับโครงการลงทุนอีกหลายโครงการ ในอนาคตจะช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐ
ส่วนกรณีดัชนีหุ้นไทยปรับลดลง แนะนักลงทุนอย่ากังวลกับดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง เนื่องจากกลุ่มพลังงานกระทบจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น จึงมีการปรับเพิ่มขึ้น ลดลงบ้างช่วงนี้ แต่มั่นใจพื้นฐานตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีมุมมองที่ดีในสายตาต่างชาติ ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ธนาคารโลก และสถาบันต่าง ๆ จนเรียกไทยว่าเป็นสวรรค์แห่งการลงทุนปลอดภัย ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะละตัว หลายประเทศติดลบมากแล้ว แต่ไทยยังมีพื้นฐานเข้มแข็ง จึงยังเป็นแหล่งลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย (Save Haven) ในสายตาต่างชาติ
เมื่อสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งพิจารณาและผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายช่วงต้นปีหน้า เพื่อทดแทนการส่งออกปีหน้าอาจชะลอไปบ้างจากเศรษฐกิจโลกชะลอลง กว่าจะได้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งต้องใช้เวลา 1 ไตรมาส การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ จึงเป็นแม่เหล็กสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน.-สำนักข่าวไทย