นนทบุรี 19 ก.ย. – “สมคิด” เร่งเครื่องโค้งสุดท้าย คสช. แนะพาณิชย์-เกษตรจับมือดูแลราคาพืชผลอย่างเป็นรูปธรรม ดึงเจ้าสัวยักษ์ใหญ่ร่วมขับเคลื่อน หวังปูทางสู่การปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้อย่างชัดเจนก่อนหมดอายุรัฐบาล
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาติดตามการผลักดันราคาพืชผลทางการเกษตรที่กระทรวงพาณิชย์ โดยประชุมร่วมกับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมเชิญภาคเอกชนรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กลุ่มเซ็นทรัล บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เข้าร่วมหารือขับเคลื่อนนโยบายการตลาดนำการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม เน้นทั้งคุณภาพผลผลิตและราคาจะต้องแข่งขันได้ในตลาดโลก ซึ่งนายสมคิด ต้องการผลักดันให้เห็นผลอย่างชัดเจนในรัฐบาลชุดนี้
อย่างไรก็ตาม การใช้แนวทางประชารัฐที่ต้องมีการวางแผนและทำงานร่วมกัน ซึ่งเกษตรกรจะต้องปลูกพืชให้ได้คุณภาพตามที่ตลาดต้องการ โดยมีผู้รับซื้อแน่นอนในราคาที่จูงใจ ไม่ใช่เพียงแค่ขอความร่วมมือให้เอกชนรับซื้อเช่นที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนายสมคิด มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์รุกตลาด e-Commerce มากขึ้น โดยมองว่าควรสร้างความเชื่อมโยงกับ platform ของภาคเอกชน เพราะเว็บไซต์ Thaitrade.com ของกระทรวงพาณิชย์ยังติดอยู่กับการเป็นระบบราชการ หากเร่งขยายความร่วมมือไปยัง platform ของเอกชนได้ ก็จะสามารถต่อยอดจากสินค้าชุมชนไปสู่ภาคบริการในท้องถิ่นได้ด้วย
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การประชุมร่วมภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องด้านสินค้าภาคการเกษตรครั้งนี้ เพื่อต้องการทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น 2 กระทรวงเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะประสานการทำงานดูแลภาคการเกษตรให้สอดคล้องและเป็นทิศทางเดียวกัน ขณะที่ภาคเอกชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันยกระดับสินค้าเกษตรแบบทำงานร่วมกันไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำหรือต่างฝ่ายหาผลประโยชน์ แต่ไม่ได้ช่วยเกษตรกรอย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อรัฐบาลประกาศแนวทางการตลาดนำการผลิต จึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือและส่งเสริมสร้างความเข้าใจว่าจะทำเกษตรหลังนาข้าวอย่างไร หรือเพาะปลูกสินค้าเกษตรแซมในพื้นที่เพาะปลูกยางพาราหรือสินค้าอื่น ๆ ที่จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมกันวางแผนการทำการเกษตรของประเทศ เป็นต้น
ส่วนกระแสข่าวว่าจะลงเล่นการเมืองและไปรับตำแหน่งเลขาธิการพรรคหรือหัวหน้าพรรคนั้น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จะแถลงข่าวความชัดเจนให้สาธารณชนทราบท่าทีในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
นายกฤษฎา กล่าวว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรได้แน่นอน โดยเฉพาะการยกระดับสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งจะเริ่มความร่วมมือในกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด และหลังจากนั้นจะเป็นพืชและผลไม้ชนิดอื่น ๆ โดยกระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างจัดทำแผนที่จะเร่งจูงใจเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชเสริมรายได้ โดยจะต้องหาตลาดล่วงหน้าให้ชัดเจนก่อนที่จะไปส่งเสริมให้เกษตรกรลงมือเพาะปลูกหรือประมง คาดว่าจะนำเสนอแผนต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า โดยจะขอวงเงินโครงการนี้ 641 ล้านบาทภายใน 6 เดือน ซึ่งมีเกษตรกรเป้าหมาย 33 จังหวัดที่อยู่ในเขตชลประทาน ในพื้นที่ 2.8 ล้านไร่ จะเป็นการชดเชยเกี่ยวกับดอกเบี้ยและค่าประกันเป็นหลัก .-สำนักข่าวไทย